การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8388
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/12/22
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1798 รหัสสำเนา 11567
คำถามอย่างย่อ
ปัจจุบันสวรรค์และนรกมีอยู่หรือไม่ ?
คำถาม
ปัจจุบันสวรรค์และนรกมีอยู่หรือไม่ ?
คำตอบโดยสังเขป

พิจารณาจากโองการและรายงานต่างๆ แล้ว จะเห็นว่าสวรรค์และนรกที่ถูกสัญญาไว้มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ซึ่งในปรโลกจะได้รับการเสนอขึ้นมา ซึ่งมนุษย์ทุกคนจะถูกจัดส่งไปยังสถานที่อันเหมาะสมของแต่ละคน ตามความเชื่อ ความประพฤติ และการคุณธรรมของตัวเอง ทว่าสำหรับสวรรค์และนรกนั้นได้ถูกจินตนาการไปอีกอย่างหนึ่งว่า จะได้ประจักษ์บนโลกนี้และปรากฏองค์ชัดเจนในโลกบัรซัคเพื่อเป็นตัวอย่าง และเป็นสาเหตุสร้างความเบิกบานและความเจ็บช้ำให้แก่มนุษย์ แน่นอนเกี่ยวกับผลสะท้อนทางการกระทำ ความเชื่อ และความคิดของมนุษย์ในปรโลกของเขา และการอธิบายสวรรค์และนรกมีทัศนะแตกต่างกันมากมาย แต่ทั้งหมดสามารถกล่าวโดยรวมได้ว่า

1) สวรรค์ที่ท่านนบีอาดัม (.) และท่านหญิงฮะวาได้เข้าไปและออกมาสู่โลกนี้

2) สวรรค์และนรกของการกระทำครอบคลุมอยู่เหนือมนุษย์ทั้งหลาย

3) สวรรค์และนรกบัรซัค คือภาพปรากฏและเป็นตัวอย่างของสวรรค์และนรกที่ได้ถูกสัญญาเอาไว้ ซึ่งสวรรค์และนรกนั้นมิใช่สิ่งที่มนุษย์สัญญาเอาไว้ ทว่าเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงเสรีและการกระทำของมนุษย์

คำตอบเชิงรายละเอียด

ความเชื่อเรื่องสวรรค์และนรกในฐานะที่เป็นสถานพำนักถาวรสำหรับมนุษย์ หลังจากวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ตลอดจนความเชื่อเรื่องการวิธีการสร้างหรือความสมบูรณ์ของทั้งสอง เป็นหนึ่งในหลักความเชื่อที่มีต่อความเร้นลับ ซึ่งความศรัทธาและความรู้ที่มีต่อทั้งสองถ้านอกจากโองการและรายงานแล้วไม่อาจเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันตราบที่มนุษย์ยังมองไม่เห็นปรโลกหน้า เขาก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความเร้นลับที่มีอยู่ในโลกนั้น ความคลุมเครือที่มีต่อทั้งสองก็จะไม่มีวันหมดไปได้ แต่การมีความคลุมเครืออยู่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนี้จะสามารถทำลายความเชื่อหลักที่มีต่อทั้งสอง วันแห่งการฟื้นคืนชีพ และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันนั้นให้หมดไปได้ เช่น ความคลุมเครือที่มีต่อสวรรค์และนรกที่ว่า ปัจจุบันนรกและสวรรค์ถูกสร้างขึ้นแล้วหรือไม่ ? ถ้าหากสร้างขึ้นแล้วทั้งสองอยู่ที่ไหน ? และปัจจุบันมีสภาพเป็นอย่างไร พื้นผิวราบเรียบซึ่งมนุษย์จะถูกลงโทษในนั้น หรือว่าเป็นพื้นครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งมนุษย์คือผู้ทำให้สมบูรณ์ หรือว่านรกและสวรรค์นั้นถูกสร้างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งในวันปรโลกมนุษย์จะถูกนำเข้าไปสู่ หรือว่านรกและสวรรค์นั้นจะถูกสร้างขึ้นในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ? และ.....

สำหรับการอธิบายคำถามข้างต้นนี้จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ กล่าวคือ ...

. ผลแห่งการกระทำของมนุษย์คือการก่อให้เกิดปรโลกของเขา

. ประเภทของสวรรค์และนรก และทัศนะต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว

ทัศนะต่างๆ ที่ได้ถูกนำเสนอไปแล้วเดี่ยวกับผลแห่งการกระทำของมนุษย์ ที่ต่อรางวัลและการลงโทษในปรโลก

1. ผลรางวัลในปรโลกเป็นไปในลักษณะของข้อตกลง ตามการกระทำ เจตคติ และความคิดของมนุษย์ เช่น การลงโทษตามหลักการ หรือการปรับผู้ขับขี่ทีฝ่าฝืนกฎจลาจร ดังนั้น ระหว่างการกระทำบนโลกนี้กับเหตุการณ์ในปรโลก มิได้มีความสัมพันธ์ในเชิงของความแน่นอนตายตัว

2. รางวัลและผลบุญในโลกหน้าเป็นการเปลี่ยนค่าพลังงานให้เป็นวัตถุ หมายถึงพลังงานที่มนุษย์ได้ใช้ไปบนโลกนี้ ในการกระทำความดีหรือบาปกรรม ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพพลังงานเหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นวัตถุ กลายเป็นสาเหตุของการสรรเสริญหรือสาปแช่งตัวเอง

3. การกระทำ ความคิด และสถานภาพของมนุษย์มีทั้งภายนอกและภายใน บนโลกนี้มนุษย์จะได้สัมผัสเฉพาะภายนอกของการกระทำเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รู้ผลภายในของการกระทำเป็นอย่างไร จนกระทั่งว่าผลของการกระทำเหล่านั้นหลังจากเสียชีวิตไปแล้วจะปรากฏให้เห็นในโลก บัรซัต และจะปรากฏชัดเจนในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ และผลภายในของการกระทำนั้นเอง ที่เป็นสาเหตุทำให้มนุษย์ได้รับผลรางวัลตอบแทนหรือการลงโทษ

4. การกระทำ ความคิด และสภาพของมนุษย์ที่เกิดจากอวัยวะต่างๆ บนร่างกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อวิถีด้านในของมนุษย์ และจะก่อให้เกิดรูปลักษณะขึ้น ถึงแม้ว่ามนุษย์จะไม่ทราบหรือไม่เคยรับรู้ถึงผลด้านในของการกระทำของตนมาก่อนก็ตาม ซึ่งบนโลกนี้จะเห็นเป็นรูปร่างหน้าตาโดยทั่วไปของมนุษย์ ส่วนในปรโลกเขาจะได้เห็นภาพภายในอันแท้จริงของเขา บนโลกถ้ามนุษย์ได้ประกอบกิจด้วยความรู้แจ้ง ภายในของเขาก็จะมีแต่ความสะอาด ซึ่งภาพที่จะปรากฏในวันนั้นก็จะเป็นไปตามกรรม อันเป็นเหตุทำให้พวกเขาได้รับการสรรเสริญ หรือกล่าวประณาม.

ในทัศนะแรกนั้นจะเห็นว่าไม่เข้ากันกับโองการและรายงาน และไม่สามารถอธิบายถึงการลงโทษ และความโปรดปรานในปรโลกได้ เพียงแค่อธิบายถึงสภาพบางสภาพที่อาจเกิดขึ้นในโลกบัรซัค และวันแห่งการฟื้นชีพ (สวรรค์และนรก) ไม่ใช่ทั้งหมด

) ทัศนะที่ได้นำเสนอเกี่ยวกับสวรรค์และนรก

1. สัญญาและคำตักเตือน บ่งชี้ให้เห็นถึงสภาพของสวรรค์และนรก เป็นเพียงมิติของการอบรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีสวรรค์หรือนรกอยู่จริงก็ได้ เพียงแค่มนุษย์มีความหวังในสวรรค์และเกรงกลัวนรก เท่านั้นก็จะทำให้เขาเป็นผู้มีความบริสุทธิ์แล้ว และได้ออกห่างจากความชั่วร้ายและสิ่งไม่ดีทั้งหลาย การได้ไปถึงสวรรค์หรือออกห่างจากนรก จุดประสงค์ของพระเจ้า เพียงแค่ต้องการชี้นำและปรับปรุงมนุษย์ให้ดีขึ้นเท่านั้นเอง

2. สวรรค์ก็คือสังคมหนึ่งที่ไม่มีระดับชั้นของเตาฮีด ส่วนนรกนั้นคล้ายกับระบบทุนนิยม ซึ่งไม่มีสิ่งใดเกินเลยไปจากนี้ ดังนั้น ผู้ที่มีความมุ่งหวังในสวรรค์ จำเป็นต้องสร้างระบบแรงงานเพื่อให้ไปถึงสวรรค์บนโลกนี้ และจะได้ออกห่างจากระบบทุนนิยม

3. สวรรค์ในอีกมิติหนึ่งก็คือ โลกนี้นั่นเอง ด้วยความสมบูรณ์และการวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยี สามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีได้ และสามารถปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจากนรกบนพื้นดินได้

4. สวรรค์ หมายถึงการมีคุณสมบัติของความดีงาม ส่วนนรกหมายถึง การมีคุณสมบัติของความชั่วร้าย ดังนั้น ผู้ที่เรียกร้องสวรรค์และต้องการปลดปล่อยตัวเองให้รอดพ้นจากความชั่ว สิ่งแรกที่จะต้องทำคือการทำลายความชั่วร้ายให้หมดไปและแทนทีสิ่งนั้นด้วยความดี

และนี่คือ 4 ข้อกล่าวอ้างที่บรรดาวัตถุนิยมและพวกสังคมนิยมได้นำเสนอ แน่นอนว่าสิ่งนี้ขัดแย้งกับโองการ และรายงานต่างๆ นอกจากนั้นยังแย้งกับเป้าหมายของบรรดาศาสดาที่ถูกส่งลงมาประกาศสั่งสอน เนื่องจากสวรรค์และนรกที่อัลกุรอานกล่าวถึงภายหลังจากความตายจะถูกนำเสนอแก่มนุษย์ในวันแห่งการตัดสิน เป็นสถานพำนักถาวรสำหรับตนมีความเป็นนิรันดร ไม่เหมือนกับโลกนี้

5. สวรรค์ที่ท่านศาสดาอาดัม (.) และทานหญิงฮะวา หลังจากถูกสร้างแล้วได้ถูกนำตัวไปไว้ในนั่น และเมื่อระยะเวลาได้ผ่านพ้นไปช่วงหนึ่งท่านก็ออกจากที่นั่นมา และลงสู่พื้นโลก ซึ่งสวรรค์ตรงนั้นคือขั้นหนึ่งของโลกนี้ มิเช่นนั้นแล้วท่านอาดัม (.) จะไม่ออกมาจากที่นั้นอย่างแน่นอน

6. สวรรค์หรือนรกแห่งโลกบัรซัค คือสถานที่แสดงภาพด้านในของการกระทำของมนุษย์ หลังจากมนุษย์ได้จากโลกนี้ไปแล้วดวงวิญญาณจะถูกนำไปพำนักไว้ที่นั่น พวกเขาจะได้พบกับเนื้อแท้แห่งการกระทำของตน พวกเขาจะได้เห็นด้านที่แท้จริงของการกระทำ ซึ่งบางคนอาจได้รับความสุข และบางคนก็อาจถูกลงโทษในที่นั่นก่อนที่วันแห่งการฟื้นคืนชีพจะมาถึง

และนี่คือสวรรค์และนรกก่อนวันแห่งการฟื้นคืนชีพ เป็นระดับหนึ่งของโลก บนโลกนี้ทุกคนจะมีสถานภาพของตัวเอง โดยเฉพาะหมู่มวลมิตรของอัลลฮฺ (ซบ.) ทัศนะดังกล่าวนี้กับแนวคิดที่ 3 และ 4 ที่ว่าผลของการกระทำของมนุษย์คือที่มาของการตอบแทนหรือการลงโทษเข้ากันได้เป็นอย่างดี[1]

7. สวรรค์และนรกในปรโลก สามารถเข้าใจได้จากโองการและรายงานว่า สวรรค์และนรกดังกล่าวนั้นปัจจุบันมีอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งของสวรรค์และนรกนั้น ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) ได้เห็นขณะขึ้นมิอ์รอจญ์[2] ในลักษณะที่ว่ามนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว สำหรับเขาแล้วมีอยู่ 2 สถานที่ได้ถูกตระเตรียมไว้แล้วกล่าวคือ สวรรค์ และนรก ดังนั้น ถ้าเขาจากโลกนี้ไปด้วยการประพฤติดี และมีศรัทธามั่นคงเขาก็จะได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ มิเช่นนั้นแล้วเขาจะถูกส่งไปสู่นรก แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์จะได้เข้าสู่สวรรค์อันบรมสุขหรือไม่ หรือว่าเขาจะถูกลงโทษในนรกทั้งหมดขึ้นอยู่กับกระทำของตนบนโลกนี้

รายงานที่เชื่อถือได้จากท่านอิมามซอดิก (.) กล่าวว่า อัลลอฮฺ ไม่ทรงสร้างผู้ใดขึ้นมา เว้นเสียแต่ว่าพระองค์ได้สร้างสถานพำนักในสวรรค์และนรกให้แก่เขาด้วย ดังนั้น หากเป็นชาวสวรรค์เขาก็จะได้เข้าสู่สวรรค์ แต่ถ้าเป็นชาวนรกเขาก็จะถูกส่งตัวไปนรก จะมีผู้ส่งเสียงเรียกเขาว่า โอ้ ชาวสวรรค์เอ๋ย สูเจ้าจงมองดูชาวนรกซิ พวกเขาจะมาแล้วจ้องมองไปที่ชาวนรก และสถานพำนักของเขาที่ได้ถูกตระเตรียมเอาไว้ ซึ่งสถานที่พำนักเหล่านั้นถ้าหากได้ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า เขาก็จะได้เข้าไปในสถานพำนักเหล่านั้น แต่ถ้ามนุษย์ได้สร้างความดีงามและช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากไฟนรกได้ เขาก็จะได้พำนักในสวรรค์ หลังจากนั้นผู้ร้องเรียกได้เรียกให้ชาวนรกเงยหน้ามองไปยังด้านบน พวกเขาก็จะเห็นบ้านที่สร้างเตรียมไว้ให้เขาในสวรรค์ และความโปรดปรานต่างๆ มากมายที่ได้ถูกเตรียมเอาไว้ ได้มีคำกล่าวแก่เขาว่า ถ้าหากเจ้าได้เคารพภักดีต่อพระเจ้า เจ้าก็จะได้ครอบครองสถานที่นั้น หลังจากนั้นได้ทำให้เขาสำนึกว่าถ้าเขาตายในสภาพที่เศร้าเสียใจ เขาก็จะได้พำนักอยู่ในนรก ฉะนั้น สถานพำนักของชาวนรกที่ถูกเตรียมไว้ให้ในสวรรค์ จะถูกมอบแก่ผู้กระทำความดีงาม ส่วนสถานพำนักของชาวสวรรค์ ที่ถูกสร้างไว้ในนรกจะถูกมอบแก่ผู้ประกอบกรรมชั่วทั้งหลาย และนี่คือการตีความโองการที่อัลลอฮฺ ตรัสแก่ชาวสวรรค์ทั้งหลายว่า พวกเธอได้รับมรดกตกทอดของพวกเธอแล้ว และพวกเธอจะพำนักในนั้นตลอดไป[3] อัลกุรอานกล่าวว่าพวกเขาจะได้รับมรดกสวนสวรรค์ชั้นฟริเดาส์ และพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล และขอสาบานว่า แน่นอนเราได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุแท้ของดิน[4]

ด้วยเหตุนี้ สวรรค์และนรกในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ คือสถานที่พำนักถาวรสำหรับมนุษย์ ซึ่งปัจจุบันมีอยุ่แล้วแต่จะสมบูรณ์ด้วยความคิด เนียต และการกระทำของมนุษย์ แต่จะไม่ปรากฏออกมาก่อนตราบจนกว่าจะถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ซึ่งไม่มีผู้ใดได้เห็นนอกจากท่านศาสดา (ซ็อล ) ซึ่งท่านได้เห็นขณะขึ้นมิอ์รอจญ์ ดังนั้น

1.สวรรค์ของท่านศาสดาอาดัม (.) และท่านหญิงฮะวา

2. สวรรค์และนรกซึ่งก่อนที่จะตายได้เคยเห็นขณะฝันหรือตื่นก็ตาม หรือเห็นขณะที่กำลังจะจากโลกไป หรือหลังจากตายจากโลกไปแล้วและอยู่ในโลกบัรซัค อันเป็นหลุมฝังศพสำหรับมนุษย์ สวรรค์และนรกในบัรซัคเป็นภาพหนึ่งของสวรรค์และนรกในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ มิใช่สวรรค์และนรกดังกล่าวนั้น

แหล่งอ้างอิง

1. ฮุซัยนฺ เตหะรานี มุฮัมมัด ฮุซัยน์ มะอาดชะนอซีย์

2. มุฮัดดิซ กุมมี เชคอับบาซ มะนาซิลอุครอ หน้า 81-170

3. ชีรระวอนนีย์ อะลี แปลการรู้จักมะอาด ญะอฺฟัรซุบฮานีย์

4. กุรบานนีย์ ซัยนุลอาบิดีน เบะซูเยะญะฮอน อะบะดีย์

5. เราะฮีมพูร ฟุรูฆ อัซซาดาต มะอาดจากมุมมองของท่านอิมามโคมัยนี

6. เฏาะบาเฏาะบาอี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ ชีวิตหลังความตาย

7. เฏาะบาเฏาะบาอี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ วิเคราะห์ปัญหาอิสลาม หน้า 354, 382



[1] ฮุซัยนี เตหะรานี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ มะอาดชะนอซีย์ เล่ม 2 หน้า 157 และ 192

[2] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 290,320 ตัฟซีรต่างๆ ตอนอธิบายโองการที่ 1 บทอัลอิสรอ

[3]  บิฮารุลอันวาร เล่ม 8 หน้า 125,287 คัดลอกมาจาก เชคอับบาสกุมมี มะนาซิลุลอาคิเราะฮฺ หน้า 129, 130

[4] อัลกุรอาน บทอัลมุอ์มินูน 10-11

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16058 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • ถ้าหากพิจารณาบทดุอาอฺต่างๆ ในอัลกุรอาน จะเห็นว่าดุอาอฺเหล่านั้นได้ให้ความสำคัญต่อตัวเองก่อน หลังจากนั้นเป็นคนอื่น เช่นโองการอัลกุรอาน ที่กล่าวว่า “อะลัยกุม อันฟุซะกุม” แต่เมื่อพิจารณาดุอาอฺของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺจะพบว่าท่านหญิงดุอาอฺให้กับคนอื่นก่อนเป็นอันดับแรก, ดังนั้น ประเด็นนี้จะมีทางออกอย่างไร?
    8872 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/12/21
    ในตำแหน่งของการขัดเกลาจิตวิญญาณและยกระดับจิตใจตนเองนั้น, มนุษย์ต้องคำนึงถึงตัวเองก่อนบุคคลอื่นเพราะสิ่งนี้เป็นคำสั่งของอัลกุรอานและรายงานนั่นเอง, เนื่องจากถ้าปราศจากการขัดเกลาจิตวิญญาณแล้วการชี้แนะแนวทางแก่บุคคลอื่นจะบังเกิดผลน้อยมาก, แต่ส่วนในตำแหน่งของดุอาอฺหรือการวิงวอนขอสิ่งที่ต้องการจากพระเจ้า,ถือว่าเป็นความเหมาะสมอย่างยิ่งที่มนุษย์จะวอนขอให้แก่เพื่อนบ้านหรือบุคคลอื่นก่อนตัวเอง, ...
  • กฎของการออกนอกศาสนาของบุคคลหนึ่ง, ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินของผู้ปกครองหรือไม่?
    5438 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    คำถามของท่าน สำนัก ฯพณฯ มัรญิอฺตักลีดได้ออกคำวินิจฉัยแล้ว คำตอบของท่านเหล่านั้น ดังนี้ ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน): การออกนอกศาสนา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินของผู้ปกครอง ซึ่งถ้าหากบุคคลนั้นได้ปฏิเสธหนึ่งในบัญญัติที่สำคัญของศาสนา ปฏิเสธการเป็นนบี หรือมุสาต่อท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือนำความบกพร่องต่างๆ มาสู่หลักการศาสนาโดยตั้งใจ อันเป็นสาเหตุนำไปสู่การปฏิเสธศรัทธา หรือออกนอกศาสนา หรือตั้งใจประกาศว่า ตนได้นับถือศาสนาอื่นนอกจากอิสลามแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้ถือว่า เป็นมุรตัด หมายถึงออกนอกศาสนา หรือละทิ้งศาสนาแล้ว ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา มะการิม ชีรอซียฺ (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน) : ถ้าหากบุคคลหนึ่งปฏิเสธหลักความเชื่อของศาสนา หรือปฏิเสธบทบัญญัติจำเป็นของศาสนาข้อใดข้อหนึ่ง และได้สารภาพสิ่งนั้นออกมาถือว่า เป็นมุรตัด ...
  • ได้ยินว่าระหว่างสงครามอิรักกับอิหร่านนั้น ร่างของบางคนที่ได้ชะฮีดแล้ว, แต่ไม่เน่าเปื่อยสลาย, รายงานเหล่านี้เชื่อถือได้หรือยอมรับได้หรือไม่?
    8235 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/05/17
    โดยปกติโครงสร้างของร่างกายมนุษย์, จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า เมื่อจิตวิญญาณได้ถูกปลิดไปจากร่างกายแล้ว, ร่างกายของมนุษย์จะเผ่าเปื่อยและค่อยๆ สลายไป, ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ที่ร่างกายของบางคนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนานหลายปี จะไม่เน่าเปื่อยผุสลายและอยู่ในสภาพปกติ. แต่อีกด้านหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการงาน[1] ซึ่งอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่มีความเป็นไปได้ หรือห่างไกลจากภูมิปัญญาแต่อย่างใด. เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งได้รับการละเว้นไว้ในบางกรณี, เช่น กรณีที่ร่างของผู้ตายอาจจะไม่เน่าเปื่อย โดยอนุญาตของอัลลอฮฺ ดังเช่น มามมีย์ เป็นต้น จะเห็นว่าร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปนานหลายพันปีแล้ว และประสบการณ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงดังกล่าวแล้วด้วย ดังนั้น ถ้าหากพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ครอบคลุมเหนือประเด็นดังกล่าวนี้ ก็เป็นไปได้ที่ว่าบางคนอาจเสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยปี แต่ร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อยผุสลาย ยังคงสมบูรณ์เหมือนเดิม แล้วพระองค์ทรงเป่าดวงวิญญาณให้เขาอีกครั้ง ซึ่งเขาผู้นั้นได้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง, อัลกุรอานบางโองการ ก็ได้เน้นย้ำถึงเรื่องราวของศาสดาบางท่านเอาไว้[2] เช่นนี้เองสิ่งที่กล่าวไว้ในรายงานว่า ถ้าหากบุคคลใดที่มีนิสัยชอบทำฆุซลฺ ญุมุอะฮฺ, ร่างกายของเขาในหลุมฝังศพจะไม่เน่นเปื่อย
  • มีการระบุสิทธิของสิ่งถูกสร้างอื่นๆไว้ในคำสอนอิสลามหรือไม่?
    6585 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/04
    ในตำราทางศาสนามีฮะดีษมากมายที่ระบุว่าสิทธิประโยชน์ต่างๆมิได้ครอบคลุมเฉพาะมนุษย์เท่านั้นทว่ามัคลู้กอื่นๆก็มีสิทธิบางประการเช่นกันดังที่ปรากฏในหนังสือمن لا یحضره الفقیه มีฮะดีษหลายบทรวบรวมไว้ในหมวดที่ว่าด้วยสิทธิของปศุสัตว์เหนือเจ้าของ (حق الدابّة علی صاحبه ) ซึ่งเราขอนำเสนอโดยสังเขปดังต่อไปนี้:ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า “สัตว์ทั้งหลายมีสิทธิเหนือผู้ครอบครองดังต่อไปนี้จะต้องให้อาหารเมื่อลงจากหลังของมันจะต้องให้มันกินน้ำเมื่อผ่านแหล่งน้ำจะต้องไม่บรรทุกสัมภาระหรือบังคับให้เดินทางเกินความสามารถของมันและอย่าฟาดที่ใบหน้าของมันเพราะสรรพสัตว์พร่ำรำลึกถึงพระองค์เสมอ”[1]นอกจากนี้ยังมีฮะดีษที่คล้ายคลึงกันในหมวดحق الدابّة علی صاحبه ของหนังสือบิฮารุลอันว้ารเล่าว่าท่านอิมามศอดิก(อ.)กล่าวว่า “สรรพสัตว์มีสิทธิเหนือเจ้าของเจ็ดประการ1. จะต้องไม่บรรทุกเกินกำลังของมัน 2.ให้อาหารเมื่อลงจากหลังของมัน 3.ให้น้ำเมื่อผ่านแหล่งน้ำ... “[2]เมื่อพิจารณาถึงฮะดีษที่ระบุถึงสิทธิของสัตว์ทำให้ทราบว่ามนุษย์มิไช่ผู้ที่มีสิทธิเพียงผู้เดียวทว่าสรรสิ่งอื่นๆก็มีสิทธิบางประการเช่นกันกรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ระเบียน:  วิธีการรำลึกถึงอัลลอฮ์ของวัตถุและพืชคำถามที่ 7575  ( ลำดับในเว็บไซต์8341 ) 
  • บทบัญญัติเกี่ยวกับปลาสเตอร์เจียน คืออะไร?
    9294 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/20
    ปลาสเตอร์เจียน เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า คาเวียร์ ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก แต่ทั่วไปมักเรียกว่า ปลาคาเวียร์ บุคคลที่ตักลีดกับมัรญิอฺ เช่น ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ถ้าสงสัยว่าปลาคาเวียร์มีเกล็ดหรือไม่,เขาสามารถรับประทานได้ แต่ถ้าตักลีดกับมัรญิอฺ บางท่าน ซึ่งในกรณีนี้ไม่อนุญาตให้รับประทาน, แต่ถ้าใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกจากรับประทาน เช่น ซื้อขายถือว่าไม่เป็นไร, ด้วยเหตุนี้, ในกรณีนี้แต่ละคนต้องปฏิบัติตามทัศนะของมัรญิอฺที่ตนตักลีด ...
  • ชาวสวรรค์ทุกคนจะได้ครองรักกับฮูรุลอัยน์หรือไม่? ฮูรุลอัยน์แต่ละนางมีสามีได้เพียงคนเดียวไช่หรือไม่? และจะมีฮูรุลอัยน์เพศชายสำหรับสตรีชาวสวรรค์หรือไม่?
    10439 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    สรวงสวรรค์นับเป็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมอบเป็นรางวัลสำหรับผู้ศรัทธาและประพฤติดีโดยไม่มีข้อจำกัดทางเพศจากการยืนยันโดยกุรอานและฮะดีษพบว่า “ฮูรุลอัยน์”คือหนึ่งในผลรางวัลที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้ชาวสวรรค์น่าสังเกตุว่านักอรรถาธิบายกุรอานส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าในสวรรค์ไม่มีพิธีแต่งงานส่วนคำว่าแต่งงานกับฮูรุลอัยน์ที่ปรากฏในกุรอานนั้นตีความกันว่าหมายถึงการมอบฮูรุลอัยน์ให้เคียงคู่ชาวสวรรค์โดยไม่ต้องแต่งงาน.ส่วนคำถามที่ว่าสตรีในสวรรค์สามารถมีสามีหลายคนหรือไม่นั้นจากการศึกษาโองการกุรอานและฮะดีษทำให้ได้คำตอบคร่าวๆว่าหากนางปรารถนาจะมีคู่ครองหลายคนในสวรรค์ก็จะได้ตามที่ประสงค์ทว่านางกลับไม่ปรารถนาเช่นนั้น ...
  • การส่งยิ้มเมื่อเวลาพูดกับนามะฮฺรัม มีกฎเป็นอย่างไร?
    5643 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    การส่งยิ้มและล้อเล่นกับนามะฮฺรัมถ้าหากมีเจตนาเพื่อเพลิดเพลินไปสู่การมีเพศสัมพันธ์หรือเกรงว่าจะเกิดข้อครหานินทาหรือเกรงว่าจะนำไปสู่ความผิดแล้วละก็ถือว่าไม่อนุญาต
  • การลงจากสวรรค์ของอาดัมหมายถึงอะไร?
    8580 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/22
    คำว่า “ฮุบูต” หมายถึงการลงมาด้านล่างจากที่สูง (นุซูล) ตรงกันข้ามกับคำว่า สุอูด (ขึ้นด้านบน), บางครั้งก็ใช้ในความหมายว่าหมายถึงการปรากฏในที่หนึ่งการวิพากถึงการลงมาของศาสดาอาดัม และความหมายของการลงมานั้น อันดับแรกขึ้นอยู่กับว่า สวรรค์ที่ศาสดาอาดัมอยู่ในตอนนั้นเราจะตีความกันว่าอย่างไร? สวรรค์นั้นเป็นสวรรค์บนโลกหรือว่าสวรรค์ในปรโลก? สิ่งที่แน่ชัดคือมิใช่สวรรค์อมตะนิรันดร์, ดังนั้นการลงมาของศาสดาอาดัม, จึงเป็นการลงมาในฐานะของฐานันดร, กล่าวคือวัตถุประสงค์ของอาดัมที่ลงจากสวรรค์, หมายถึงการขับออกจากสวรรค์ การกีดกันจากการใช้ชีวิตในสวรรค์ (สวรรค์บนพื้นโลก) การใช้ชีวิตบนพื้นโลก การดำเนินชีวิตไปพร้อมกับการเผชิญกับความยากลำบาก ดังที่อัลกุรอานหลายโองการได้กล่าวถึงไว้ ...
  • จะให้นิยามและพิสูจน์ปาฏิหาริย์ได้อย่างไร?
    8192 วิทยาการกุรอาน 2554/10/22
    อิอฺญาซหมายถึงภารกิจที่เหนือความสามารถของมนุษย์บุถุชนธรรมดาอีกด้านหนึ่งเป็นการท้าทายและเป็นภารกิจที่ตรงกับคำกล่าวอ้างตนของผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นผู้แสดงปาฏิหาริย์นั้นการกระทำที่เหนือความสามารถหมายถึงการกระทำที่แตกต่างไปจากวิสามัญทั่วไปซึ่งเกิดภายใต้เงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติภารกิจที่เหนือธรรมชาติหมายถึง

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59459 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56918 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41723 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38476 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38463 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33496 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27572 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27294 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27190 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25265 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...