การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9654
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2551/11/03
คำถามอย่างย่อ
ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ให้บัยอัตแก่อบูบักรฺ อุมัร และอุสมานหรือไม่? เพราะอะไร?
คำถาม
เมื่อท่านอิมามอะลี (อ.) ทราบว่า อัลลอฮฺทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นเคาะลิฟะฮฺ แล้วเพราะสาเหตุใดท่านต้องให้บัยอัตกับอบูบักรฺ อุมัร และอุสมานด้วย? ถ้าหากพูดว่าเป็นเพราะท่านไม่มีอำนาจและไร้ความสามารถ, เมื่อเป็นเช่นนั้นบุคคลที่ไม่มีอำนาจจะคู่ควรเป็นอิมามะฮฺได้อย่างไร, เนื่องจากบุคคลที่มีความสามารถจึงคู่ควรกับอิมาม เพราะเขาจะเป็นผู้แบกรับผิดชอบตำแหน่งอิมาม. แต่ถ้าพูดว่าอิมามมีความสามารถ เพียงแต่ว่าไม่ได้ใช้ความสามารถของตน สิ่งนี้ถือว่าเป็นการทรยศ ดังนั้น คนทรยศไม่อาจเป็นอิมามได้ และประชาชนไม่อาจเชื่อมั่นในการเป็นผู้นำของเขาได้ ซึ่งท่านอิมามอะลี (อ.) ห่างไกลจากการเป็นผู้ทรยศ และสะอาดจากสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น คำตอบที่ถูกต้องของท่านคืออะไร?
คำตอบโดยสังเขป

ประการแรก: ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาสหายกลุ่มหนึ่งของท่าน พร้อมกับสหายของท่านศาสดา มิได้ให้บัยอัตกับท่านอบูบักรฺตั้งแต่แรก แต่ต่อมาคนกลุ่มนี้ได้ให้บัยอัต ก็เนื่องจากว่าต้องการปกปักรักษาอิสลาม และความสงบสันติในรัฐอิสลาม

ประการที่สอง: ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคลี่คลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยคมดาบ หรือความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว และมิได้หมายความว่าทุกที่จะสามารถใช้กำลังได้ทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญา และฉลาดหลักแหลม สามารถใช้เครื่องมืออันเฉพาะแก้ไขปัญหาได้

ประการที่สาม: ถ้าหากท่านอิมามยอมให้บัยอัตกับบางคน เพื่อปกป้องรักษาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า เช่น ปกป้องศาสนาของพระเจ้า และความยากลำบากของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) นั่นมิได้หมายความว่า ท่านเกรงกลัวอำนาจของพวกเขา และต้องการรักษาชีวิตของตนให้รอดปลอดภัย หรือท่านมีอำนาจต่อรองในตำแหน่งอิมามะฮฺและการเป็นผู้นำน้อยกว่าพวกเขาแต่อย่างใด

ประการที่สี่ : จากประวัติศาสตร์และคำพูดของท่านอิมามอะลี (อ.) เข้าใจได้ว่า ท่านอิมาม ได้พยายามคัดค้านและท้วงติงพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง เกี่ยวกับสถานภาพตามความจริง ในช่วงการปกครองของพวกเขา แต่ในที่สุดท่านได้พยายามปกปักรักษาอิสลามด้วยการนิ่งเงียบ และช่วยเหลืองานรัฐอิสลามเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู

คำตอบเชิงรายละเอียด

เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์ในยุคแรกของอิสลามเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า :

หนึ่ง : ยังไม่ทันที่เรือนร่างบริสุทธิ์ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จะถูกฝัง การชุมนุมกันที่สะกีฟะฮฺบนีซาอิดะฮฺ ก็ได้เริ่มต้นขึ้นทันที พวกเขาได้ให้สัตยาบันกับคนอื่นที่นอกเหนือไปจากท่าน อิมามอะลี (อ.) ขณะที่ท่านอิมามอะลี (อ.) กำลังยุ่งอยู่กับการกะฟั่นเรือนร่างของท่านศาสดา (ซ็อลฯ)[1] และมีเซาะฮาบะฮฺกลุ่มหนึ่งพร้อมกับหัวหน้าเผ่า เช่น อับบาซ บิน อับดุลมุฏ็อลลิบ, ฟัฎลฺ บิน อับบาซ, ซุเบร บิน อะวาม, คอลิด บิน สะอีด, มิกดาร บิน อัมรฺ, ซัลมาล ฟาร์ซียฺ, อบูซัร ฆัฟฟารียฺ, อัมมาร บินยาซีร, อัลบัรรออฺ บิน อาซิบ และอบี บิน กะอฺบ์ มิได้ให้สัตยาบัน ซึ่งพวกเขาได้สนับสนุนท่านอิมามอะลี (อ.)[2] หนังสือมุซนัดอะฮฺมัด 1/55 และฏ็อบรียฺ 2/466 กล่าวว่า บุคคลกลุ่มนี้ได้รวมตัวกันที่บ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) พวกเขาหลีกเลี่ยงไม่ให้สัตยาบันกับอบูบักรฺ[3]

ประวัติศาสตร์กล่าว่า ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ตอบข้อสงสัยของบุคคลที่มารวมตัวกันอยู่ที่บ้านของท่าน ซึ่งพวกเขาต้องการให้สัตยาบันกับท่าน ท่านอิมามกล่าวว่า : “พรุ่งให้พวกท่านมาอีกครั้ง ในสภาพที่เกรียนผมสั้น แต่พอวันรุ่งขึ้นมีเพียง 3 คนเท่านั้นได้มาหาท่านอิมามอะลี (อ.)[4]

ในทำนองเดียวกันประวัติศาสตร์บันทึกว่า ท่านอิมามอะลี (อ.) มิได้ให้บัยอัตกับอบูบักรฺ ตลอดระยะเวลาที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) ยังมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากนั้นเมื่อท่านอิมามเริ่มเห็นว่าสังคมนับวันจะยิ่งเลวร้ายลง ท่านจึงจำเป็นต้องให้ความร่วมมือกับอบูบักรฺ[5]

ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมามอะลี (อ.) และบรรดาสหายกลุ่มหนึ่งของท่าน พร้อมกับสหายของท่านศาสดา มิได้ให้บัยอัตกับท่านอบูบักรฺตั้งแต่แรก แต่ต่อมาคนกลุ่มนี้ได้ให้บัยอัต ก็เนื่องจากว่าต้องการปกปักรักษาอิสลาม และความสงบสันติในรัฐอิสลาม

บิลาซัรรียฺ กล่าวถึงสาเหตุของการให้บัยอัตของท่านอิมามอะลี (อ.) กับอบูบักรฺว่า : » หลังจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จากไปมีชนเผ่าอาหรับจำนวนหนึ่งตกมุรตัด (ออกนอกศาสนา) อุสมานได้มาหาท่านอิมามอะลี (อ.) พร้อมกับกล่าวว่า : โอ้ บุตรชายของท่านอา ตราบที่ท่านยังไม่มอบสัตยาบัน จะไม่มีผู้ใดออกไปสงครามกับศัตรูแน่นอน ซึ่งพวกเขาได้พูดเช่นนี้กับท่านอิมามอะลี (อ.) เสมอ จนกระทั่งในที่สุดท่านอิมามได้ให้สัตยาบันกับอบูบักรฺ«[6] ซึ่งการให้สัตยาบันของท่านอิมามอยู่ในยุคสมัยของอบูบักรฺเท่านั้น หลังจากนั้นท่านได้ทักท้วงเรื่องการปกครองเสมอ

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า : “พึงสังวรเถิด ฉันขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ แน่นอนที่สุดชายคนนั้น (อบูบักรฺ) ได้สวมเสื้อแห่งเคาะลิฟะฮฺ ทั้งที่ความเป็นจริงเขารู้ดีถึงฐานภาพของฉัน กับการปกครองอิสลามว่า มีความสัมพันธ์กันเฉกเช่นเดือยโม่กับโม่ เขารู้ดีถึง ความประเสริฐและกระแสคลื่นแห่งความรู้ ที่ไหลหลากออกจากฉัน หมู่มวลวิหคมันไม่สามารถบินต่อไปได้ ฉะนั้น ฉันจึงปล่อยเสื้อแห่งคิลาฟะฮฺไป และลดตัวเองสวมอาภรณ์อีกตัวหนึ่ง ฉันครุ่นคิดด้วยความปวดร้าวว่า ฉันควรกระโจนลงไปยึดสิ่งนั้นกลับมาด้วยมือเปล่า (ปราศจากผู้ช่วยเหลือ) หรือว่าจะอดทนอยู่กับความมืดมิดที่เข้าปกคลุมอยู่อย่างนี้ต่อไป และอยู่ในสภาพเช่นนั้นจนผู้ใหญ่ผ่านวัยสู่ความร่วงโรย เด็กผ่านเข้าสู่วัยหนุ่ม  และผู้ศรัทธาคนหนึ่งต้องอดทนกล้ำกลืนอย่างเจ็บปวด จนกระทั่งกลับคืนไปสู่พระผู้อภิบาลของตน ดังนั้น ฉันพิจารณาแล้วเห็นว่า การอดทนกับสภาพทั้งสองย่อมเหมาะสมมากกว่า ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงยอมอดทนทั้งที่ในดวงตาเต็มไปด้วยเศษขยะ และในลำคอมีกระดูกทิ่มติดอยู่”[7]

แต่สำหรับประเด็นที่กล่าวว่า ท่านอิมามอะลี (อ.) มีความกล้าหาญเพียงนั้น แล้วทำไมท่านไม่ยืนหยัด หรือไม่ยอมกระทำสิ่งใดเลย จำเป็นต้องกล่าวว่า ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคลี่คลายให้เสร็จสิ้นได้ด้วยคมดาบ หรือความกล้าหาญเพียงอย่างเดียว และมิได้หมายความว่าทุกที่จะสามารถใช้กำลังได้ทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญา และฉลาดหลักแหลม สามารถใช้เครื่องมือและวิธีการอันเหมาะแก้ไขปัญหาได้ การมีอำนาจ กำลัง ความสามารถ และความกล้าหาญในสนามรบ ก็จะมิถูกนำไปใช้กับภารกิจต่างๆ ที่ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด

ดังที่ท่านฮารูน เมื่อเห็นว่าหมู่ชนของมูซา (อ.) หันไปเคารพบูชารูปปั้นวัว ซึ่งขณะนั้นท่านเป็นตัวแทนของศาสดามูซา (อ.) แต่ท่านก็มิได้ลงมือกระทำสิ่งใด นอกจากการว่ากล่าวตักเตือนและแนะสำสิ่งดีๆ แก่พวกเขา อัลกุรอาน ได้กล่าวถึงคำพูดของฮารูนที่ตอบข้อท้วงติงของศาสดามูซา (อ.) ที่มีต่อท่าน เนื่องจากท่านมิได้ห้ามปรามพวกเขา หรือขัดขวางมิให้วงศ์วานอิสราเอล มิให้เคารพรูปปั้นบูชาแต่อย่างใด กล่าวว่า : »ฮารูนกล่าวว่า "โอ้ ลูกของแม่ฉันเอ๋ย! อย่าดึงเคราและศีรษะของฉัน แท้จริงฉันกลัวว่า เจ้าจะกล่าวว่า เจ้าได้ก่อความแตกแยกขึ้นในหมู่วงศ์วานอิสรออีล และเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของฉัน«[8]

อัลกุรอานกล่าวถึง การปลีกตัวของศาสดาอิบรอฮีม (อ.) จากการเคารพรูปปั้นบูชาว่า  : »ครั้นเมื่อเขา (อิบรอฮีม) ปลีกตัวออกไปจากพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาเคารพสักการะ นอกจากอัลลอฮฺแล้ว«[9]

ทำนองเดียวกันการปลีกตัวของเยาวชนกลุ่มหนึ่ง หรือชาวถ้ำจากกลุ่มชนที่อธรรมพวกเขา อัลกุรอานกล่าวว่า : »เมื่อพวกท่านปลีกตัวออกห่างจากพวกเขา (มุชริก) และจากสิ่งที่พวกเขาสักการะ นอกจากอัลลอฮฺ ดังนั้น จงหลบเข้าไปในถ้ำเถิด เพื่อพระผู้อภิบาลของพวกท่านจะทรงแผ่ความเมตตาของพระองค์แก่พวกท่าน และจะทรงทำให้กิจการของพวกท่าน ดำเนินไปอย่างสะดวกสบาย«[10]

ดังนั้น ถูกต้องไหมถ้าเราจะกล่าวถึงการปลีกตัวของศาสดาอิบรอฮีม (อ.) และชาวถ้าว่า เกิดจากความหวาดกลัว หรือทรยศ ขณะที่ในช่วงเวลานั้น หนทางแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมคือ ต้องทำตามวิธีการดังกล่าว

ถ้าหากท่านอิมามอะลี ได้ปฏิบัติสิ่งที่มีความเหมาะสมยิ่งกว่า เพื่อปกป้องรักษาศาสนาของพระเจ้า และความลำบากตรากตรำของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ซึ่งท่านได้ให้สัตยาบันกับคนบางคน นั่นมิได้หมายความว่านั่นมิได้หมายความว่า ท่านเกรงกลัวอำนาจของพวกเขา และต้องการรักษาชีวิตของตนให้รอดปลอดภัย หรือท่านมีอำนาจต่อรองในตำแหน่งอิมามะฮฺและการเป็นผู้นำน้อยกว่าพวกเขาแต่อย่างใด

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวถึงสาเหตุที่ท่านไม่ยืนหยัดต่อสู้ เพื่อช่วงชิงตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺว่า หลังจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จากไปแล้ว ข้าพิจารณาดูแล้วก็เห็นทันทีว่า (การเรียกร้องสิทธิ์ของข้า) ไม่มีผู้ช่วยแต่อย่างใดนอกจากสมาชิกครอบครัวของข้า ดังนั้น ข้าไม่พอใจต่อความตายของพวกเขา ข้าต้องหลับตาขณะที่มันเต็มไปด้วยเศษปฏิกูล ข้ากล่ำกลืนเหตุการณ์ที่แสนขมขื่น (ประหนึ่งลำคอที่ถูกหนามทิ่มแทง) ข้าต้องอดทนอย่างสุดแสนกล้ำกลืน และดื่มความขมขื่นของรสชาติที่สุดแสนจะขม[11]

ในอีกที่หนึ่งท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ดังนั้น ถ้าฉันพูดอะไรออกมาคนเหล่านั้นก็จะกล่าวว่า “เขาทะยานอยากในอำนาจการปกครอง” แต่ถ้าฉันนิ่งเงียบไม่พูดอะไร พวกเขาก็จะกล่าวว่า “เขากลัวตาย”[12]

สรุป การให้สัตยาบันของท่านอิมามอะลี (อ.) มิได้เกิดจากความหวาดกลัว (เนื่องจากทั้งมิตรและศัตรูต่างทราบดีถึงความกล้าหาญชาญชัยของท่าน) ทว่าเนื่องจากการปราศจากผู้ช่วยเหลือในวิถีทางความจริง และต้องการรักษาความสมานฉันท์ในสังคมอิสลาม ซึ่งเป็นหน้าที่ของเหล่าบรรดาผู้นำที่แท้จริงแห่งพระเจ้า แม้แต่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน เนื่องจากท่านมีสหายผู้ช่วยเหลือเพียงน้อยนิด และต้องการรักษาอิสลามให้มั่นคง ท่านจำเป็นต้องปลีกตัวออกไปจากหมู่ชน และอพยพไปยังมะดีนะฮฺ จนกระทั่งว่าผู้ช่วยเหลือมีจำนวนมากขึ้น ท่านจึงได้กลับมาพิชิตมักกะฮฺในภายหลัง

ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมามอะลี (อ.) ทั้งที่รู้ว่าท่านคือตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) แต่เพื่อความสงบของสังคมและมุสลิม ท่านถือว่าการอดทนคือวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับท่าน เนื่องจากท่านอิมาม (อ.) ทราบดีว่าเมื่อใดจึงจะสามารถใช้กำลัง และอาวุธเข้าห้ำหั่นกับศัตรู แต่สังคมหลังจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จากไปแล้ว ท่านเห็นว่าความอดทนและการนิ่งเงียบนั้นดีกว่าการต่อสู้ ในสถานการณ์เช่นนั้น ท่านและครอบครัวตลอดจนสหายของท่าน ได้นิ่งเงียบและจะใช้กำลังสู้รบกับศัตรูที่จ้องจะทำลายล้างอิสลาม ดังนั้น การนิ่งเงียบและการประนีประนอมของท่านอิมาม (อ.) จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

 


[1] กันซุลอุมาล 5/552

[2] ซุยูฎียฺ, ตารีคคุละฟาอฺ, หน้า 62, พิมพ์ ดารุลฟิกฮฺ, เลบานอน, ตารีคยะอฺกูบียฺ,2/124-125, ฏ็อบรียฺ, ตารีคอัลอุมัม วัลมะลูก, 2, เล่ม 2, หน้า 443, พิมพ์ที่อิสติกอมัต, กอเฮเราะฮฺ, มุซนัดอะฮฺมัด, เล่ม 3, หน้า 156, (ฮาชิม), พิมพ์ที่ ดารุลซอดิร

[3] อ้างแล้ว

[4] มะอาลิม อัลมัดเราะสะตัยนฺ,อัลลามะฮฺ อัสการียฺ, เล่ม 1, หน้า 162.

[5] ฏ็อบรียฺ, ตารีคอัลอุมัมวัลมัมลูก, 2/448, พิมพ์ที่อิสติกอมะฮฺ, กอเฮเราะฮฺ

[6] อินซาบ อัลอัชรอฟ 1/587.

[7] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนาที่ 3, หน้า 45.

[8] قالَ يَا بْنَ أُمَّ لا تَأْخُذْ بِلِحْيَتي‏ وَ لا بِرَأْسي‏ إِنِّي خَشيتُ أَنْ تَقُولَ فَرَّقْتَ بَيْنَ بَني‏ إِسْرائيلَ وَ لَمْ تَرْقُبْ قَوْلي‏อัลกุรอาน บทฏอฮา, 94.

[9] فَلَمَّا اعْتزََلهَُمْ وَ مَا يَعْبُدُونَ مِن دُونِ الله‏อัลกุรอาน บทมัรยัม, 49.

[10] وَ إِذِ اعْتزَلْتُمُوهُمْ وَ مَا يَعْبُدُونَ إِلَّا اللَّهَ فَأْوُاْ إِلىَ الْكَهْفِ يَنشُرْ لَكمُ‏ْ رَبُّكُم مِّن رَّحْمَتِهِ وَ يُهَيئّ‏ِْ لَكمُ مِّنْ أَمْرِكمُ مِّرْفَقًا.อัลกุรอาน บทกะฮฺฟิ, 16.

[11] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนาที่ 76, หน้า 73.

[12] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, คำเทศนาที่ 5, หน้า 51.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16058 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • ถ้าหากพิจารณาบทดุอาอฺต่างๆ ในอัลกุรอาน จะเห็นว่าดุอาอฺเหล่านั้นได้ให้ความสำคัญต่อตัวเองก่อน หลังจากนั้นเป็นคนอื่น เช่นโองการอัลกุรอาน ที่กล่าวว่า “อะลัยกุม อันฟุซะกุม” แต่เมื่อพิจารณาดุอาอฺของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺจะพบว่าท่านหญิงดุอาอฺให้กับคนอื่นก่อนเป็นอันดับแรก, ดังนั้น ประเด็นนี้จะมีทางออกอย่างไร?
    8872 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/12/21
    ในตำแหน่งของการขัดเกลาจิตวิญญาณและยกระดับจิตใจตนเองนั้น, มนุษย์ต้องคำนึงถึงตัวเองก่อนบุคคลอื่นเพราะสิ่งนี้เป็นคำสั่งของอัลกุรอานและรายงานนั่นเอง, เนื่องจากถ้าปราศจากการขัดเกลาจิตวิญญาณแล้วการชี้แนะแนวทางแก่บุคคลอื่นจะบังเกิดผลน้อยมาก, แต่ส่วนในตำแหน่งของดุอาอฺหรือการวิงวอนขอสิ่งที่ต้องการจากพระเจ้า,ถือว่าเป็นความเหมาะสมอย่างยิ่งที่มนุษย์จะวอนขอให้แก่เพื่อนบ้านหรือบุคคลอื่นก่อนตัวเอง, ...
  • กฎของการออกนอกศาสนาของบุคคลหนึ่ง, ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินของผู้ปกครองหรือไม่?
    5438 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/17
    คำถามของท่าน สำนัก ฯพณฯ มัรญิอฺตักลีดได้ออกคำวินิจฉัยแล้ว คำตอบของท่านเหล่านั้น ดังนี้ ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน): การออกนอกศาสนา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินของผู้ปกครอง ซึ่งถ้าหากบุคคลนั้นได้ปฏิเสธหนึ่งในบัญญัติที่สำคัญของศาสนา ปฏิเสธการเป็นนบี หรือมุสาต่อท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือนำความบกพร่องต่างๆ มาสู่หลักการศาสนาโดยตั้งใจ อันเป็นสาเหตุนำไปสู่การปฏิเสธศรัทธา หรือออกนอกศาสนา หรือตั้งใจประกาศว่า ตนได้นับถือศาสนาอื่นนอกจากอิสลามแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้ถือว่า เป็นมุรตัด หมายถึงออกนอกศาสนา หรือละทิ้งศาสนาแล้ว ฯพณฯ ท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา มะการิม ชีรอซียฺ (ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองท่าน) : ถ้าหากบุคคลหนึ่งปฏิเสธหลักความเชื่อของศาสนา หรือปฏิเสธบทบัญญัติจำเป็นของศาสนาข้อใดข้อหนึ่ง และได้สารภาพสิ่งนั้นออกมาถือว่า เป็นมุรตัด ...
  • ได้ยินว่าระหว่างสงครามอิรักกับอิหร่านนั้น ร่างของบางคนที่ได้ชะฮีดแล้ว, แต่ไม่เน่าเปื่อยสลาย, รายงานเหล่านี้เชื่อถือได้หรือยอมรับได้หรือไม่?
    8235 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/05/17
    โดยปกติโครงสร้างของร่างกายมนุษย์, จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า เมื่อจิตวิญญาณได้ถูกปลิดไปจากร่างกายแล้ว, ร่างกายของมนุษย์จะเผ่าเปื่อยและค่อยๆ สลายไป, ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ที่ร่างกายของบางคนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนานหลายปี จะไม่เน่าเปื่อยผุสลายและอยู่ในสภาพปกติ. แต่อีกด้านหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการงาน[1] ซึ่งอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่มีความเป็นไปได้ หรือห่างไกลจากภูมิปัญญาแต่อย่างใด. เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งได้รับการละเว้นไว้ในบางกรณี, เช่น กรณีที่ร่างของผู้ตายอาจจะไม่เน่าเปื่อย โดยอนุญาตของอัลลอฮฺ ดังเช่น มามมีย์ เป็นต้น จะเห็นว่าร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปนานหลายพันปีแล้ว และประสบการณ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงดังกล่าวแล้วด้วย ดังนั้น ถ้าหากพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ครอบคลุมเหนือประเด็นดังกล่าวนี้ ก็เป็นไปได้ที่ว่าบางคนอาจเสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยปี แต่ร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อยผุสลาย ยังคงสมบูรณ์เหมือนเดิม แล้วพระองค์ทรงเป่าดวงวิญญาณให้เขาอีกครั้ง ซึ่งเขาผู้นั้นได้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง, อัลกุรอานบางโองการ ก็ได้เน้นย้ำถึงเรื่องราวของศาสดาบางท่านเอาไว้[2] เช่นนี้เองสิ่งที่กล่าวไว้ในรายงานว่า ถ้าหากบุคคลใดที่มีนิสัยชอบทำฆุซลฺ ญุมุอะฮฺ, ร่างกายของเขาในหลุมฝังศพจะไม่เน่นเปื่อย
  • มีการระบุสิทธิของสิ่งถูกสร้างอื่นๆไว้ในคำสอนอิสลามหรือไม่?
    6585 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/04
    ในตำราทางศาสนามีฮะดีษมากมายที่ระบุว่าสิทธิประโยชน์ต่างๆมิได้ครอบคลุมเฉพาะมนุษย์เท่านั้นทว่ามัคลู้กอื่นๆก็มีสิทธิบางประการเช่นกันดังที่ปรากฏในหนังสือمن لا یحضره الفقیه มีฮะดีษหลายบทรวบรวมไว้ในหมวดที่ว่าด้วยสิทธิของปศุสัตว์เหนือเจ้าของ (حق الدابّة علی صاحبه ) ซึ่งเราขอนำเสนอโดยสังเขปดังต่อไปนี้:ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า “สัตว์ทั้งหลายมีสิทธิเหนือผู้ครอบครองดังต่อไปนี้จะต้องให้อาหารเมื่อลงจากหลังของมันจะต้องให้มันกินน้ำเมื่อผ่านแหล่งน้ำจะต้องไม่บรรทุกสัมภาระหรือบังคับให้เดินทางเกินความสามารถของมันและอย่าฟาดที่ใบหน้าของมันเพราะสรรพสัตว์พร่ำรำลึกถึงพระองค์เสมอ”[1]นอกจากนี้ยังมีฮะดีษที่คล้ายคลึงกันในหมวดحق الدابّة علی صاحبه ของหนังสือบิฮารุลอันว้ารเล่าว่าท่านอิมามศอดิก(อ.)กล่าวว่า “สรรพสัตว์มีสิทธิเหนือเจ้าของเจ็ดประการ1. จะต้องไม่บรรทุกเกินกำลังของมัน 2.ให้อาหารเมื่อลงจากหลังของมัน 3.ให้น้ำเมื่อผ่านแหล่งน้ำ... “[2]เมื่อพิจารณาถึงฮะดีษที่ระบุถึงสิทธิของสัตว์ทำให้ทราบว่ามนุษย์มิไช่ผู้ที่มีสิทธิเพียงผู้เดียวทว่าสรรสิ่งอื่นๆก็มีสิทธิบางประการเช่นกันกรุณาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ระเบียน:  วิธีการรำลึกถึงอัลลอฮ์ของวัตถุและพืชคำถามที่ 7575  ( ลำดับในเว็บไซต์8341 ) 
  • บทบัญญัติเกี่ยวกับปลาสเตอร์เจียน คืออะไร?
    9294 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/20
    ปลาสเตอร์เจียน เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า คาเวียร์ ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก แต่ทั่วไปมักเรียกว่า ปลาคาเวียร์ บุคคลที่ตักลีดกับมัรญิอฺ เช่น ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ถ้าสงสัยว่าปลาคาเวียร์มีเกล็ดหรือไม่,เขาสามารถรับประทานได้ แต่ถ้าตักลีดกับมัรญิอฺ บางท่าน ซึ่งในกรณีนี้ไม่อนุญาตให้รับประทาน, แต่ถ้าใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกจากรับประทาน เช่น ซื้อขายถือว่าไม่เป็นไร, ด้วยเหตุนี้, ในกรณีนี้แต่ละคนต้องปฏิบัติตามทัศนะของมัรญิอฺที่ตนตักลีด ...
  • ชาวสวรรค์ทุกคนจะได้ครองรักกับฮูรุลอัยน์หรือไม่? ฮูรุลอัยน์แต่ละนางมีสามีได้เพียงคนเดียวไช่หรือไม่? และจะมีฮูรุลอัยน์เพศชายสำหรับสตรีชาวสวรรค์หรือไม่?
    10439 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    สรวงสวรรค์นับเป็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมอบเป็นรางวัลสำหรับผู้ศรัทธาและประพฤติดีโดยไม่มีข้อจำกัดทางเพศจากการยืนยันโดยกุรอานและฮะดีษพบว่า “ฮูรุลอัยน์”คือหนึ่งในผลรางวัลที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้ชาวสวรรค์น่าสังเกตุว่านักอรรถาธิบายกุรอานส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าในสวรรค์ไม่มีพิธีแต่งงานส่วนคำว่าแต่งงานกับฮูรุลอัยน์ที่ปรากฏในกุรอานนั้นตีความกันว่าหมายถึงการมอบฮูรุลอัยน์ให้เคียงคู่ชาวสวรรค์โดยไม่ต้องแต่งงาน.ส่วนคำถามที่ว่าสตรีในสวรรค์สามารถมีสามีหลายคนหรือไม่นั้นจากการศึกษาโองการกุรอานและฮะดีษทำให้ได้คำตอบคร่าวๆว่าหากนางปรารถนาจะมีคู่ครองหลายคนในสวรรค์ก็จะได้ตามที่ประสงค์ทว่านางกลับไม่ปรารถนาเช่นนั้น ...
  • การส่งยิ้มเมื่อเวลาพูดกับนามะฮฺรัม มีกฎเป็นอย่างไร?
    5643 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    การส่งยิ้มและล้อเล่นกับนามะฮฺรัมถ้าหากมีเจตนาเพื่อเพลิดเพลินไปสู่การมีเพศสัมพันธ์หรือเกรงว่าจะเกิดข้อครหานินทาหรือเกรงว่าจะนำไปสู่ความผิดแล้วละก็ถือว่าไม่อนุญาต
  • การลงจากสวรรค์ของอาดัมหมายถึงอะไร?
    8580 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/22
    คำว่า “ฮุบูต” หมายถึงการลงมาด้านล่างจากที่สูง (นุซูล) ตรงกันข้ามกับคำว่า สุอูด (ขึ้นด้านบน), บางครั้งก็ใช้ในความหมายว่าหมายถึงการปรากฏในที่หนึ่งการวิพากถึงการลงมาของศาสดาอาดัม และความหมายของการลงมานั้น อันดับแรกขึ้นอยู่กับว่า สวรรค์ที่ศาสดาอาดัมอยู่ในตอนนั้นเราจะตีความกันว่าอย่างไร? สวรรค์นั้นเป็นสวรรค์บนโลกหรือว่าสวรรค์ในปรโลก? สิ่งที่แน่ชัดคือมิใช่สวรรค์อมตะนิรันดร์, ดังนั้นการลงมาของศาสดาอาดัม, จึงเป็นการลงมาในฐานะของฐานันดร, กล่าวคือวัตถุประสงค์ของอาดัมที่ลงจากสวรรค์, หมายถึงการขับออกจากสวรรค์ การกีดกันจากการใช้ชีวิตในสวรรค์ (สวรรค์บนพื้นโลก) การใช้ชีวิตบนพื้นโลก การดำเนินชีวิตไปพร้อมกับการเผชิญกับความยากลำบาก ดังที่อัลกุรอานหลายโองการได้กล่าวถึงไว้ ...
  • จะให้นิยามและพิสูจน์ปาฏิหาริย์ได้อย่างไร?
    8192 วิทยาการกุรอาน 2554/10/22
    อิอฺญาซหมายถึงภารกิจที่เหนือความสามารถของมนุษย์บุถุชนธรรมดาอีกด้านหนึ่งเป็นการท้าทายและเป็นภารกิจที่ตรงกับคำกล่าวอ้างตนของผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นผู้แสดงปาฏิหาริย์นั้นการกระทำที่เหนือความสามารถหมายถึงการกระทำที่แตกต่างไปจากวิสามัญทั่วไปซึ่งเกิดภายใต้เงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติภารกิจที่เหนือธรรมชาติหมายถึง

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59459 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56918 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41723 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38476 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38463 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33496 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27572 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27294 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27190 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25265 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...