การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7733
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2552/06/01
คำถามอย่างย่อ
เพราะสาเหตุใดอัลกุรอานอ่านจึงมิได้ถูกรวบรวมตามการถูกประทานลงมา
คำถาม
เพราะสาเหตุใดอัลกุรอานอ่านจึงมิได้ถูกรวบรวมตามการถูกประทานลงมา (เริ่มจากมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺตามลำดับ)
คำตอบโดยสังเขป
ไม่มีคำสั่งหรือรายงานใดจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เกี่ยวกับการรวบรวมอัลกุรอาน ตามการประทานลงมามาถึงพวกเรา การรวบรวมอัลกุรอานได้ถูกกระทำลงไปหลายขั้นตอนด้วยกัน ท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นผู้รวบรวมอัลกุรอานตามการประทานลงมา แต่ในที่สุดอัลกุรอานที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นการรวบรวมโดยเหล่าบรรดาสากวก โดยได้รับความเห็นชอบจากบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ว่าสมบูรณ์
 
คำตอบเชิงรายละเอียด
เกี่ยวกับการรวบรวมอัลกุรอานมี 3 ทัศนะดังนี้
1. โองการต่าง ๆ ของอัลกุรอาน ขณะที่ประทานลงมา ได้ถูกประทานลงมาอย่างสมบูรณ์ และตราบที่อัลกุรอาบทดังกล่าว ยังไม่สมบูรณ์ อัลกุรอานบทอื่นจะไม่ถูกประทานลงมาอย่างเด็ดขาด
2. อัลกุรอานแต่ละบท เมื่อถูกประทานลงมาสักสองสามโองการ อัลกุรอานบทนั้นจะค่อย ๆ สมบูรณ์ไปที่ละน้อย ดังนั้น คำถามที่ถูกถามขึ้นตรงนี้ก็คือ การจัดวางโองการต่าง ๆ ในอัลกุรอาน เป็นไปตามความเห็นชอบของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กระนั้นหรือ หรือว่าการกระทำเช่นนั้นเกิดขึ้นในสมัยของบรรดาสาวก ?
3. หรือการวางซูเราะฮฺ และวางโองการดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นฝีมือของบรรดาสาวกทั้งหลาย
วิเคราะห์ความคิดเห็นที่ 1 :
ท่าน ซุยูฏีย์ บันทึกรายงานบทหนึ่งไว้ในหนังสือ อัลอิตติกอน ซึ่งรายงานบทดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และบรรดามุสลิมต่างทราบเป็นอย่างดีว่า อัลกุรอาน ซูเราะฮฺก่อนหน้กำหลังจะสิ้นสุดลง เพราะเมื่อ “บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานิรเราะฮีม” ถูกประทานลงมา นั่นแสดงว่าอัลกุรอานบทใหม่กำลังจะถูกประทานตามมา[1] คำกล่าวอ้างนี้บ่งชี้ให้เห็นว่า ในสมัยท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) อัลกุรอานแต่ละซูเราะฮฺ จะถูกประทานลงมาโดยสมบูรณ์ ซึ่งบรรดาผู้รู้ส่วนใหญ่ต่างมีความเห็นพร้องต้องกันว่า นับตั้งแต่ช่วงแรกที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดา อัลกุรอาน สองสามโองการในซูเราะฮฺ อัลอะลัก ก็ถูกประทานลงมา[2] ซึ่งบางครั้งบางโองการถูกประทานลงมา และท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) นำเอาโองการนั้นไปวางในซูเราะฮฺตามความเหมาะสม[3] ดังนั้น สมมุติฐานนี้ถือว่า เชื่อถือไม่ได้
วิเคราะห์ความคิดเห็นที่ 2 :
ดังทัศนะแรกที่ผ่านมา  จะเห็นว่ามีโองการจำนวนมากที่กล่าวไว้ในประวัติศาสตร์ และท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) มีคำสั่งให้นำไปจัดวางไว้ในซูเราะฮฺต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งการรวบรวมครั้งแรกเกิดขึ้นโดยน้ำมือของ ท่านอบูบักร์เคาะลิฟะฮฺที่หนึ่ง การรวบรวมอัลกุรอานครั้งที่สองเกิดขึ้นในสมัยท่านอุสมาน เคาะลิฟะฮฺคนที่สาม แต่ทั้งสองครั้งก็ไม่ได้มีการสลับที่โองการแต่อย่างใด หรือหลักในการจัดเรียงโองการก็มิได้มีบทบาทแต่อย่างใด แม้ว่าอัลกุรอานบางบทเช่น “บทฟาติฮะฮฺ” จะลงมาในคราวเดียวจบ[4]
แต่สำหรับอัลกุรอานบางบท เช่น บทที่มีเนื้อความยาว ๆ โองการจะประทานลงมาสองสามโองการในตอนแรก (หมายถึงแต่ละบทจะมีโองการประทานลงมาบางส่วน และหลังจากนั้นจะทยอยลงจนจบบท)
ในกรณีนี้ท่านมัรฮูม เฏาะบัรซียฺ กล่าวว่า “จุดประสงค์ของการประทาน อัลกุรอานตามขั้นตอนคือ การรักษาระเบียบในช่วงต้นของการประทานลงมากสักสองสามโองการ และก่อนที่จะจบสมบูรณ์ บทอื่นอาจจะประทานลงมาโดยสมบูรณ์ก่อน หรืออาจจะมีสองสามโองการของบทนอื่นถูกประทานลงมา หลังจากนั้นอัลกุรอานบทดังกล่าวจะประทานลงมาให้สมบูรณ์ก็ได้ ในกรณีนี้ทุกสิ่งจะย้อนกลับไปสู่ความเป็นระเบียบในเรื่องที่ประทานลงมา ทั้งที่มักกะฮฺและมะดีนะฮฺ[5]
ฉะนั้น การคัดสรรโองการเพื่อนำไปวางในซูเราะฮฺต่าง ๆ เป็นคำสั่งของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เพียงในสมัยของท่านอุสมาน ได้รวบรวมอัลกุรอานฉบับต่าง ๆ ที่ถูกบันทึกไว้เข้าด้วยกัน และแต่ละคนที่นำเอาต้นฉบับที่ตนมีอยู่มาเสนอ ซึ่งไม่มีอยู่ในต้นฉบับอื่น จะต้องนำพยานสองคนมายืนยันว่าเขาได้ยินอัลกุรอานจากท่านเราะซูลจริง[6]
วิเคราะห์ทัศนะที่ 3 :
เกี่ยวกับการประทานอัลกุรอานลงมาตามขั้นตอนนั้น[7] ส่วนใหญ่มีความเห็นพร้องต้องกันว่า การจัดระเบียบโองการเป็นไปตามคำสั่งของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เป็นคำสั่งในลัษณะ เตาฟีกี[8] แต่ดังที่กล่าวไปแล้วว่า เครื่องหมายบางประการ กล่าวว่าอัลกุรอานบางส่วนประทานลงมาตามขั้นตอน ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยเคาะลิฟะฮฺ[9] แม้ว่ารายงานบางบท จะบ่งชี้ว่ากุรอานถูกรวบรวมแล้วในสมัยท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)[10] และสมมุติว่า การรวบรวมตามรายงานนี้จะเป็นทัศนะที่แข็งแรงก็ตาม แต่กระนั้นการรวบรวมอัลกุรอานก็ถูกแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน กล่าวคือ ในสมัยท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) สมัยเคาะลิฟะฮฺที่ 1 และ 2 และสุดท้ายคือ การรวบรวมในสมัยเคาะลิฟะฮฺที 3[11]
การรวบรวมอัลกุรอาน
อัลกุรอานถูกรวบรวมในสมัยท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ตามคำสั่งของท่านศาสดา โดยการบันทึกของเซาะฮาบะฮฺบางท่าน ซึ่งการรวบรวมนี้ก็คือ การรวบรวมวะฮฺยู ในสมัยท่านอบูบักร์ มีการรวบรวมโองการต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายออกไป (เป้นเหมือนเล่มที่มีอยู่ในปัจจุบัน) ในยุคสุดท้ายคือยุคของท่านอุสมาน เคาะลิฟะฮฺที่สาม ได้รวบรวมต้นฉบับจากที่ต่าง ๆ จากพวกอาหรับ ที่มีต้นฉบับที่แตกต่างกัน โดยรวบรวมไว้ด้วยกัน[12]
มุซฮับของท่านอิมามอะลี (.)
ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้เริ่มต้นรวบรวมอัลกุรอาน หลังจากท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) เป็นวะฟาตไปแล้ว ความพิเศษของต้นฉบับนี้คือ การรวมโองการ และซูเราะฮฺไปตามวาระของการประทานอัลกุรอานอย่างละเอียด[13] กล่าวคือ มักกียะฮฺ ถูกประทานมาก่อนมะดีนะฮฺ[14] แต่ว่าอัลกุรอานฉบับของท่านอิมามอะลี (อ.) มิได้ได้การยอมรับจากบรรดาเคาะลิฟะฮฺก่อนหน้านี้[15] ที่สุดแล้วอัลกุรอานที่มีอยู่ในปัจจุบันคือ ฉบับที่อุสมานเคาะลิฟะฮฺที่สาม เป็นผู้รวบรวมเอาไว้ และอิมามอะลี (อ.) ลงนามยอมรับด้วย[16]
คำพูดสุดท้ายและบทสรุป : เมือพิจารณาสิ่งที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ดังนี้คอ
1.การประทานโองการอัลกุรอาน แบบทยอยลงมานั้น บางครั้งลงมาในคราวเดียวทั้งซูเราะฮฺ หรือบางครั้งก็ประทานลงมาสองสามโองการก่อน
2. การประทานโองการอัลกุรอาน มีการประทานสลับซูเราะฮฺลงมา
๓. ซอฮาบะฮฺบางคนได้รวบรวมอัลกุรอาน แบบเลือกสรรโองการ แล้วนำไปวางไว้ตามซูเราะฮฺต่าง ๆ ตามคำสั่งของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) (มิได้บังคับให้ทำ)
๔. การเลือกสรรโองการกระทำลงไปตามคำสั่งของท่านศาสสดา
๕. การเลือกสรรซูเราะฮฺ ตามคำกล่าวอ้างนั้นได้ถูกกระทำในสมัยเซาะฮาบะฮฺ โดยเฉพาะในสมัยของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)
๖. การรวบรวมอัลกุรอาน ในสมัยท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็คือการจดบันทึกวะฮฺยูตามคำบอกของท่านศาสดา ส่วนกุรอานในสมัยเคาะลิฟะฮฺที่หนึ่ง และสองคือ การรวบรวมเอาจากโองการที่กระจัดกระจายกันออกไป โดยการรวมเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนการรมในสมัยของท่านอุสมานนั้น มีความแตกต่างกันบ้าง ซึ่งเป็นเช่นนั้นอยู่หลายปี แล้วได้ยติลง
๗.ท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นผู้รวบรวมอลกุรอานไปตามการประทานลงมา ขณะที่อุสมานเองก็ได้รวมอัลกุรอานเสร็จสมบูรณ์แล้ว ท่านอิมามจึงยอมรับสิ่งทีอุสมานทำขึ้นมา เพื่อรักษาเอกภาพของสังคมมุสลิม และป้องการความแปลกแยก กับการฉวยโอกาสของศัตรู
 

[1] ท่านอิบนุอับบาส พูดว่า “ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ไม่ทราบดอกว่า อัลกุรอานบทนั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อใด จนกระทั่งว่า “บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานิรเราะฮีมถูกประทานลงมา” มีคำกล่าวเสริมว่า “เมื่อบิซมิลลาฮฺ” ถูกประทานลงมา อัลกุรอานบทนั้นก็สิ้นสุดลง และอัลกุรอานบทใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น อัลมีซาน เล่ม 12, หน้า 186.
[2] มะอฺริฟัต มุฮัมมัด ฮาดี, อุลูมกุรอานนี, หน้า 76 สถาบั้น อัตตัมฮีม กุม 1378
[3] อ้างแล้ว เล่มเดิม หน้า 77, อิบนิอาชูร, อัตตะฮฺรีร วันตันวีร, เล่ม 1, หน้า 90, รายงานโดย ติรมีซี จากท่านอิบนุอับบาส จากท่านอุสมาน บิน อัฟฟาน กล่าวว่า ...
«كان رسول اللّه صلّى اللّه عليه و سلّم مما يأتي عليه الزمان و هو تنزل عليه السور ذوات العدد- أي في أوقات متقاربة- فكان إذا نزل عليه الشي‏ء دعا بعض من يكتب الوحي فيقول ضعوا هؤلاء الآيات في السورة كذا».
[4] อุลูมกุรอาน หน้า 76
[5] เฏาะบัรซีรฺ ฟัฏลฺ อิบนุฮะซัน,มัจญฺมะอุลบะยาน ฟี ตัฟซีรอัลกุรอาน, ฉบับแปลเล่มที่ 26 หน้า 147, สำนักพิมพ์ ฟะรอฮันนี, เตหะราน 1360, ด้วยการย่อและสรุป อุลูมกุรอาน หน้า 89
[6] อัลมีซานฉบับแปล เล่ม 12, หน้า 174
[7] ทัศนะดังกล่าวนี้ นักตัฟซีรฝ่ายชีอะฮฺบางท่าน เช่น มุฮัมมัด บิน ฮะบีบุลลอฮฺ ซับซะวารียฺ นะญะฟี  บันทึกอยู่ในหนังสือ อัลญะดีด ฟี ตัฟซีร อัลกุรอาน อัลมะญีด” เล่ม 2, หน้า 420, และนักตัฟซีรที่มิใช่ชีอะฮฺ เช่น ท่านเชากานียฺ บันทึกไว้ในหนังสือ ฟัตฮุลเกาะดีร เล่ม 1 หน้า 86 มีความเห็นที่แตกต่างออกไป
[8] ซุยูฎี “อัลอิตติกอน ฟี อุลูมิลกุรอาน” เล่ม 1, หน้า 71, อุลูมกุรอานนี หน้า 119,
[9] อัลอิตกอน เล่ม 1, หน้า 69, บุคอรียฺ มุฮัมมัด เล่ม 4, หน้า 1907, ดารุล อิบนุกะซีร เบรุต 1407
[10] อะลี บินสุลัยมาน อัลอะบีด ญัมอุลกุรอาน ฮิซซอน วะกิตาบะตัน, หน้า 70,
المطلب الأول : الأدلة على كتابة القرآن الكريم في عهده صلى الله عليه وسلم ، ما رواه البخاري ومسلم عن ابن عمر  « أن رسول الله صلى الله عليه وسلم نهى أن يُسَافر بالقرآن إلى أرض العدو »
وفي لفظ لمسلم أن رسول الله صلى الله عيه وسلم قال : « لا تسافروا بالقرآن ، فإني لا آمنُ أن يناله العدو »،بیجا،بیتا
[11] อะฮฺมัด บิน อะลี อิมตินาอฺ อัลอัสมาอฺ เล่ม 4 หน้า 239, ดารุลกุตุบ อัลอาละมียะฮฺ เบรุต 1420
[12] ญัมอุลกุรอาน ฮิซซอน วะกิตาบะตัน หน้า 70, (การรวมอัลกุรอานในสมัยท่านเราะซูล), อัลอิตติกอน เล่ม 1 หน้า 69, หน้ 67, (เกี่ยวกับการรวบรวมของท่านอบูบักร์ และอุสมาน)
[13] ดังที่กล่าวไปแล้วว่า บางโองการถูกนำไปวางไว้ในซูเราะฮฺต่าง ๆ อันเฉพาะเจาะจง ตามคำสั่งของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)
[14] อุลูมกุรอานนี หน้า 121, มุฮัมมัด บิน สะอีด, อัฏเฏาะบะกอต อัลกุบรอ, แปลโดย มะฮฺดี ดามะฆอนียฺ เล่ม 2, หน้า 324, พิมพ์ที่ ฟัรฮังวะอันดีเชะฮฺ เตหะราน ปี 1374
[15] อุลูมกุรอานนี หน้า 122
[16] เนื่องจากท่านอิมามอะลี (อ.) เมื่อเดินทางมาถึงกูฟะฮฺ (ขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ) มีชายคนหนึ่งต้องการประณามท่านอุสลาม เนื่องจากท่านอุสมาน ปล่อยให้ประชาชนยุคนั้นมีอัลกุรอานเพียงฉบับเดียว ท่านอิมามอะลี (อ.) สั่งให้เขาหยุด และกล่าวต่อไปว่า ทุกสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปอย่างน้อย เราเป้นผู้ให้คำปรึกษาแก่เขา และถ้าหากฉันอยู่ในสภาพเดียวกันกับเขา ฉันก็คงจะกระทำเช่นนั้นเหมือนกัน และคงดำเนินการไปตามนั้น “อะอฺซัม อิบนุ กูฟี” อัลฟุตูฮฺ แปลโดย มุสเตาฟี ฮะระวี หน้า 997, สำนักพิมพ์ อิงเตชารอต วะออมูเซซ อิงกะลอบอิสลามมี เหหะราน ปี 1372, อุลูมกุรอานนี หน้า 133-123
แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

คำถามสุ่ม

  • ในพิธีขว้างหินที่ญะมารอตหากต้องการเป็นตัวแทนให้ผู้ที่ไม่สามารถขว้างหินเองได้ อันดับแรกจะต้องขว้างหินของเราเองก่อนแล้วค่อยขว้างหินของผู้ที่เราเป็นตัวแทนให้เขาใช่หรือไม่?
    7314 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/05
    ดังทัศนะของมัรญะอ์ตักลีดทุกท่านรวมไปถึงท่านอิมามโคมัยนี (ร.) อนุญาตให้ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์สามารถขว้างหินของตัวแทนของตนก่อนก่อนที่จะขว้างหินของตนเอง[i][i]มะฮ์มูดี, มูฮัมหมัดริฏอ, พิธีฮัจญ์ (ภาคผนวก),หน้าที่
  • ตามทัศนะของท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา อะลี คอเมเนอี การปรากฏตัวของสตรีที่เสริมสวยแล้ว (ถอนคิว,เขียนตาและอื่นๆ) ต่อหน้าสาธารณชน ท่ามกลางนามะฮฺรัมทั้งหลาย ถือว่าอนุญาตหรือไม่? และถ้าเสริมสวยเพียงเล็กน้อย มีกฎเกณฑ์ว่าอย่างไรบ้าง?
    10096 หลักกฎหมาย 2556/01/24
    คำถามข้อ 1, และ 2. ถือว่าไม่อนุญาต ซึ่งกรณีนี้ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้เสริมสวย คำถามข้อ 3. ถ้าหากสาธารณถือว่านั่นเป็นการเสริมสวย ถือว่าไม่อนุญาต[1] [1] อิสติฟตาอาต จากสำนักฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา คอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงปกป้อง) ...
  • การสู่ขออดีตภรรยาของอับดุลลอฮ์ บิน สะลามที่ชื่ออุร็อยนับโดยอิมามฮุเซน(อ.)และยะซีดในเวลาเดียวกัน มีผลต่อเหตุการณ์กัรบะลาอย่างไร?
    7120 تاريخ بزرگان 2554/12/21
    ตำราประวัติศาสตร์บางเล่มระบุว่าแม้ยะซีดจะมีสิ่งบำเรอกามารมณ์อย่างครบครันแต่ก็ยังอยากจะเชยชมหญิงที่มีสามีแล้วอย่างอุร็อยนับบินติอิสฮ้ากภรรยาของอับดุลลอฮ์บินสะลามมุอาวิยะฮ์ผู้เป็นพ่อของยะซีดจึงคิดอุบายที่จะพรากหญิงสาวคนนี้จากสามีเพื่อให้ลูกชายของตนสมหวังในกามราคะอิมามฮุเซน(อ.) ทราบเรื่องนี้เข้าจึงคิดขัดขวางแผนการดังกล่าวโดยใช้บทบัญญัติอิสลามทำลายอุบายของมุอาวิยะฮ์และปล่อยให้อุร็อยนับคืนสู่อับดุลลอฮ์บินสะลามผู้เป็นสามีอีกครั้งหนึ่งทำให้ยะซีดหมดโอกาสที่จะย่ำยีครอบครัวนี้ได้อีกต่อไปแม้รายงานทางประวัติศาสตร์ชิ้นนี้จะมีข้อกังขามากพอสมควรแต่สมมติว่าเป็นเรื่องจริงก็มิไช่เรื่องเสียหายสำหรับอิมามฮุเซนแต่อย่างใดกลับจะชี้ให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดและเมตตาธรรมของท่านในการรักษาเกียรติยศครอบครัวมุสลิมได้เป็นอย่างดีอนึ่งไม่มีตำราที่มีชื่อเสียงเล่มใดระบุว่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นสาเหตุให้ยะซีดแค้นฝังใจและก่อเหตุนองเลือดที่กัรบะลา ...
  • จะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร?
    8766 ปรัชญาของศาสนา 2554/07/16
    ผู้ที่คิดว่าศาสนาและวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะปรับเข้าหากันได้แสดงว่าไม่เข้าใจธรรมชาติของศาสนาเทวนิยมโดยเฉพาะศาสนาอิสลามอีกทั้งไม่เข้าใจว่าพื้นที่คำสอนของศาสนาและพื้นที่ความรู้ของวิทยาศาสตร์ก็แยกออกเป็นเอกเทศ เมื่อพื้นที่ต่างกันก็ย่อมไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นคำสอนของศาสนามีอิทธิพลต่อมนุษย์ในสามพื้นที่ด้วยกันนั่นคือความสัมพันธ์กับตนเองความสัมพันธ์กับผู้อื่น(สังคมและสิ่งแวดล้อม) และความสัมพันธ์กับพระเจ้า และในฐานะที่อิสลามถือเป็นศาสนาที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดได้สนองตอบความต้องการของมนุษย์ทุกยุคสมัยด้วยกระบวนการที่เรียกว่า “อิจญ์ติฮาด”ซึ่งได้รับการวางรากฐานโดยวงศ์วานศาสดามุฮัมมัดส่วนเทคโนโลยีนั้นมีอิทธิพลเพียงในพื้นที่แห่งประสาทสัมผัสและมีไว้เพื่อค้นพบศักยภาพของโลกและจักรวาลที่ซ่อนอยู่ตลอดจนเพื่อประดิษฐ์เครื่องมือในการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจากเนียะอฺมัตของอัลลอฮ์เท่านั้น จึงกล่าวได้ว่านวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ช่วยแผ่ขยายพื้นที่ในการตรากฏเกณฑ์ศาสนาให้กว้างยิ่งขึ้นเพราะในทัศนะอิสลามแล้วสามารถจะวินิจฉัยปัญหาใหม่ๆได้โดยใช้กระบวนการอิจญ์ติฮาดและอ้างอิงขุมความรู้ทางฟิกเกาะฮ์. ...
  • ในทัศนะอิสลาม บาปของฆาตกรที่เข้ารับอิสลามจะได้รับการอภัยหรือไม่?
    7717 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/12
    อิสลามมีบทบัญญัติเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ารับอิสลามอาทิเช่นหากก่อนรับอิสลามเคยละเมิดสิทธิของอัลลอฮ์เช่นไม่ทำละหมาดหรือเคยทำบาปเป็นอาจินเขาจะได้รับอภัยโทษภายหลังเข้ารับอิสลามทว่าในส่วนของการล่วงละเมิดสิทธิเพื่อนมนุษย์เขาจะไม่ได้รับการอภัยใดๆเว้นแต่คู่กรณีจะยอมประนีประนอมและให้อภัยเท่านั้นฉะนั้นหากผู้ใดเคยล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่นเมื่อครั้งที่ยังมิได้รับอิสลามการเข้ารับอิสลามจะส่งผลให้เขาได้รับการอนุโลมโทษทัณฑ์จากอัลลอฮ์ก็จริงแต่ไม่ทำให้พ้นจากกระบวนการพิจารณาโทษในโลกนี้
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25255 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...
  • หญิงสามารถเรียกร้องค่าจ้าง ในการให้น้ำนมแก่ทารกของตน จากสามีของนางได้หรือไม่?
    5976 สิทธิและกฎหมาย 2555/05/20
    การพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ถือว่าจำเป็นกล่าวคือ บทบัญญัติทางศาสนา กับรากแห่งจริยธรรมในอิสลามคือความสมบูรณ์ของกันและกัน ทั้งสองจะไม่แยกออกจากกันเด็ดขาด[1] ด้วยเหตุนี้, แม้ว่าบทบัญญัติในบางกรณีจะกล่าวถึง สิทธิ จากประมวลสิทธิทั้งหลาย ซึ่งเป็นสิ่งตายตัวสำหรับบางคน และผู้ปฏิบัติสามารถใช้ประโยชน์จาก กฎเกณฑ์ของฟิกฮฺได้, แต่โดยหลักการของศาสนา ได้กล่าวถึงสิทธิอีกประการหนึ่งในฐานะของ หลักจริยธรรม ดังนั้น การนำเอาสิทธิทั้งสองประการมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน จะทำให้มีชีวิตมีความสุขราบรื่น เกี่ยวกับปัญหาที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น, ต้องกล่าวว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของวัฒนธรรม และการยึดมั่นต่อบทบัญญัติชัรอียฺ นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับมาตรฐานความรักและความสัมพันธ์ ระหว่างชายกับหญิง ถ้าหากความสัมพันธ์ของทั้งสองวางอยู่บนคำสอนของศาสนา ความรัก และไมตรีที่มีต่อกัน ประกอบสามีพอมีกำลังทรัพย์, ซึ่งนอกจากค่าเลี้ยงดูและสิ่งจำเป็นทั่วไปแล้ว, เขายังสามารถแบ่งปันและจ่ายเป็นรางวัลค่าน้ำนม ที่ภรรยาได้ให้แก่ลูกของเธอ, แน่นอน ในแง่ของจริยธรรม ถ้าหากสามีไม่มีความสามารถด้านการเงิน, ดีกว่าภรรยาไม่สมควรเรียกรางวัลตอบแทนใดๆ และจงพิจารณาประเด็นเหล่านี้เป็นพิเศษว่า ชีวิตคู่จะมีความสุขราบรื่นก็เมื่อ ทั้งสามีและภรรยาได้ปฏิบัติหน้าที่ทางบทบัญญัติ และหลักจริยธรรมไปพร้อมกัน แต่ถ้าภรรยายืนยันเสียงแข็งว่า ...
  • เข้ากันได้อย่างไร ระหว่างความดีและชั่ว กับความเป็นเอกะและความเมตตาของพระเจ้า?
    6865 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    1. โลกใบนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ไม่อาจอยู่เป็นเอกเทศหรืออยู่ตามลำพังได้, องค์ประกอบและสัดส่วนต่างๆ บนโลกนี้ ถ้าหากพิจารณาให้รอบคอบจะพบว่าทุกสรรพสิ่ง เปรียบเสมือนโซ่ที่ร้อยเรียงติดเป็นเส้นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเหล่านั้นรวมเรียกว่า ระบบการสร้างสรรค์อันสวยงาม, ด้วยเหตุนี้ ไม่สามารถกล่าวได้ว่าในโลกนี้มีพระเจ้า 2 องค์ เช่น พูดว่าน้ำและน้ำฝนมีพระเจ้าองค์หนึ่ง น้ำท่วมและแผ่นดินไหวมีพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง, แน่นอน ถ้าหากน้ำท่วมและแผ่นดินไหวมาจากระบบหนึ่ง และน้ำฝน แสงแดด การโคจร และ ...ได้ตามอีกระบบหนึ่ง เท่ากับว่าโลกใบนี้มี 2 ระบบ เวลานั้นเราจึงสามารถกล่าวได้เช่นนี้ว่า โลกมีพระเจ้า 2 องค์ ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากความจำกัดของโลกมีเพียงแค่ระบบเดียวที่เข้ากันและมีความสวยงาม ซึ่งทั้งหมดสามารถเจริญเติบโตไปสู่ความสมบูรณ์ของตนได้อย่างเสรี สรุปแล้วโลกใบนี้ต้องมีพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงเมตตาปรานียิ่ง 2.ความเมตตาปรานีของพระเจ้า วางอยู่บนพื้นฐานแห่งวิทยปัญญาของพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้ได้กำหนดว่ามนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายต่างได้รับการชี้นำทางไปสู่การพัฒนา และความสมบูรณ์แต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นไปได้ทุกหนทางในการบริการ หรือทุกหนทางที่จะก้าวเดินไป ทว่าการไปถึงยังความสมบูรณ์นั้นได้เป็นตัวกำหนดว่า มนุษย์ต้องผ่านหนทางที่ยากลำบากไปให้ได้ เขาต้องเผชิญกับความยากลำบาก และการต่อสู้ในชีวิตเพื่อก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ อีกนัยหนึ่งศักยภาพต่างๆ ...
  • กรุณาแจกแจงแนวความคิดของเชคฏูซีในประเด็นการเมือง
    5742 ระบบต่างๆ 2554/10/02
    ทุกยุคสมัยมักมีประเด็นปัญหาใหม่ๆให้นักวิชาการได้ขบคิดและตอบคำถามเรื่อยมาเชคฏูซีก็ถือเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่รับผิดชอบภารกิจนี้อย่างดีเยี่ยมแนวคิดทางการเมืองการปกครองของเชคฏูซีสรุปได้ดังนี้ท่านไม่เห็นด้วยกับการจำแนกศาสนาจากการเมืองท่านใช้ข้อพิสูจน์ทางสติปัญญาชี้ให้เห็นว่าจำเป็นจะต้องมีรัฐบาลและระบอบการปกครองตลอดจนต้องมีผู้นำสูงสุด ท่านวิเคราะห์ประเด็นการเมืองด้วยหลักแห่ง"การุณยตา"(ลุฏฟ์)ของอัลลอฮ์กล่าวคืออัลลอฮ์จะแผ่ความการุณย์ด้วยการตั้งให้มีผู้นำสำหรับมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นนบีหรืออิมามหรือตัวแทนอิมามซึ่งภาวะผู้นำทางการเมืองคือหนึ่งในภารกิจของบุคคลเหล่านี้ในบริบททางวิชาการท่านให้ความสำคัญกับประเด็นภาวะผู้นำทางการเมืองของบรรดาฟะกีฮ์ความสำคัญของประเด็นดังกล่าวในสายตาประชาชนความเชื่อมโยงระหว่างภาวะดังกล่าวกับภาวะผู้นำของอิมามมะอ์ศูมตลอดจนอำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองวิถีอิสลามเป็นพิเศษนอกจากนี้การที่ท่านรับเป็นอาจารย์สอนด้านเทววิทยาอิสลามในเมืองหลวงของราชวงศ์อับบาสิด
  • ฮะดีษที่กล่าวว่า ท่านศาสดา (ซ.ล.) กล่าวว่า “จงทานแอปเปิ้ลเมื่อท้องว่าง (ในช่วงเช้า) เพราะจะช่วยชำระล้างกระเพาะ” เป็นฮะดีษที่ถูกต้องหรือไม่?
    10454 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/06/23
    แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่นอกจากจะมีประโยชน์ทางด้านสารอาหารแล้ว ยังมีสรรพคุณทางด้านการรักษาและเป็นยาอีกด้วย ซึ่งเหล่าบรรดาแพทย์ทั้งสมัยก่อนและสมัยใหม่ได้กล่าวและเขียนเกี่ยวกับมันมากมาย เกี่ยวกับประโยชน์และสรรพคุณของแอปเปิ้ล นอกจากทัศนะของเหล่าบรรดาแพทย์ทั้งหลายแล้ว เราจะพบฮะดีษบางบทจากบรรดามะอ์ศูมีนในหนังสือทางประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือฮะดีษที่ได้กล่าวมาในคำถามข้างต้นที่กล่าวว่า “و قال النبی (ص) کلوا التفاح علی الريق فإنه وضوح المعده”[1] จงทานแอปเปิ้ลเมื่อท้องว่าง (ในยามเช้า) เพราะจะช่วยชำระล้างกระเพาะ” และฮะดีษนี้รายงานจากอิมามอลี (อ.) โดยมีเนื้อหาดังนี้ “كُلُوا التُّفَّاحَ فَإِنَّهُ يَدْبُغُ الْمَعِدَةَ” จงกินแอปเปิ้ล เนื่องจากแอปเปิ้ลจะช่วยชำระล้างกระเพาะ ฮะดีษดังกล่าวนอกจากจะปรากฏในหนังสือมะการิมุลอัคลากแล้ว ยังจะพบได้ในหนังสือบิฮารุลอันวารของท่านมัจลิซีย์และมุสตัดร็อกของท่านนูรีย์อีกด้วย นอกจากนี้ท่านอิมามศอดิก (อ.) ก็ได้กล่าวถึงสรรพคุณของแอปเปิ้ลว่า “หากประชาชนได้รู้ถึงสรรพคุณที่มีอยู่ในแอปเปิ้ล พวกเขาจะใช้แอปเปิ้ลรักษาผู้ป่วยของตนเพียงอย่างเดียว”

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59441 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56901 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41707 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38461 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38453 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33485 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27564 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27279 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27179 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25255 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...