การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6793
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/09/25
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1040 รหัสสำเนา 16978
คำถามอย่างย่อ
จะมีวิธีการจำแนก ระหว่างการกรุการมุสาหรือพูดจริง สำหรับบุคคลที่กล่าวอ้างถึงวะฮฺยู (อ้างการลงวะฮฺยูและการเป็นนบี) ได้อย่างไร?
คำถาม
จะมีวิธีการจำแนก ระหว่างการกรุการมุสาหรือพูดจริง สำหรับบุคคลที่กล่าวอ้างถึงวะฮฺยู (อ้างการลงวะฮฺยูและการเป็นนบี) ได้อย่างไร?
คำตอบโดยสังเขป

1- วะฮฺยูในความหมายของคำหมายถึง "การถ่ายโอนเนื้อหาอย่างรวดเร็วอย่างลับๆ" แต่ในความหมายทางโวหารหมายถึง "การรับรู้ด้วยสติอันเป็นความพิเศษของศาสดา การได้ยินพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่มีสื่อกลาง หรือผ่านสื่อกลาง

2- วะฮฺยูตามความมายของคำนั้น,ไม่เพียงแต่ไม่ใช้สำหรับมนุษย์ที่มิได้เป็นนบีเท่านั้น แม้แต่สรรพสัตว์และสิ่งไม่มีชีวิตอื่นก็ถูกใช้ด้วย และ ... นอกจากนี้ยังนำมาใช้เป็นวัฒนธรรมของกุรอาน, เช่น แรงบันดาลใจที่มีต่อมารดาของศาสดามูซา (.), และเรื่องราวอันเป็นสัญชาติญาณ เช่น การสร้างรวงรังของผึ้ง, หรือภารกิจอันเป็นการกำหนด เช่น การโคจรของฟากฟ้าและแผ่นดิน สิ่งเหล่านี้เป็นวะฮฺยูเช่นกัน

3- บรรดานักเอรฟานบางท่านยังเรียกร้องว่า ตนมีแรงบันดาลใจวะฮฺยู" ซึ่งจุดประสงค์ของพวกเขาคือ วะฮฺยู ในความหมายเชิงภาษาหรือแรงบันดาลใจนั่นเอง ส่วนวะฮฺยูในเชิงของโวหารนั้นสำหรับบรรดานบี (.) เท่านั้น, แต่แรงบันดาลใจอาจจะครอบคลุมถึงคนอื่นด้วย

4- ถ้ามีคนเรียกร้องวะฮฺยูพร้อมกับการเป็นนบีและมีสาส์น ดังนั้นเพื่อระบุคำพูดของเขาว่าเป็นจริงในอันดับแรกจะมี "ปาฏิหาริย์" แสดงออกมา

5- ปาฏิหาริย์ (มุอฺญิซะฮฺ) เป็นภารกิจพิเศษเหนือธรรมชาติ ซึ่งอยู่เหนืออำนาจมนุษย์และออกนอกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ซึ่งบุคคลที่อ้างว่าตนเป็นนบีจะแสดงออกมาเพื่อพิสูจน์การเป็นนบีของตน พร้อมกับเป็นการโต้ตอบการร้องขอหรือคำท้าทาย (ตะฮัดดี) ของคนอื่น เช่น ไม้เท้าของศาสดามูซา (.) ได้กลายเป็นงู หรือการที่ศาสดาอีซา (.) ได้ทำให้สิ่งที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมา หรืออัลกุรอานมะญีดอันเป็นความอัศจรรย์ของพระศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) ผู้เป็นศาสดาสุดท้าย ดังนั้น หากใครกำลังมองหาการกระทำพิเศษเหนือธรรมชาติ ซึ่งจะไม่เรียกการกระทำของเขาว่าเป็น มุอฺญิซะฮฺ ทว่าจะเรียกเป็น กะรอมัต หรือ ... ขณะเดียวกันถ้าหากการกระทำของเขาไม่ตรงกับคำกล่าวอ้างการเป็นนบี จะไม่เรียกสิ่งนั้นว่าเป็นมุอฺญิซะฮฺเช่นกัน

6- สิ่งที่บ่งว่ามุอฺญิซะฮฺนั้นรับรองคำกล่าวอ้างการเป็นนบีว่าเป็นความจริง ก็คือ: ทั้งมุอฺญิซะฮฺและวะฮฺยู (แรงบันดาลใจ) ทั้งสองเป็นภารกิจเหนือธรรมชาติและเป็นปรากฏการณ์เร้นลับ ทว่าวะฮฺยูมิใช่ว่าบุคคลอื่นจะสามารถเห็นได้ การมองเห็นมลาอิกะฮฺเป็นไปไม่ได้สำหรับบุคคลอื่นที่มิใช่นบี ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาศาสดาทั้งหลายที่ได้แสดงปาฏิหาริย์นั้นถือเป็นภารกิจเหนือธรรมชาติ และเหนืออำนาจของมนุษย์,เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งนั้นได้มาจาก แหล่งอันเป็นอำนาจสูงสุดหรือสัมพันธ์อยู่กับอำนาจสูงสุด ด้วยเหตุนี้กฏเกณฑ์ที่ว่ากฏแห่งความคล้ายเหมือนในสิ่งอนุญาต และสิ่งที่ไม่อนุญาตจึงเป็นหนึ่งเดียวกันเราจึงสามารถสรุปได้ว่า คำกล่าวอ้างของบรรดาศาสดาทั้งหลายเกี่ยวกับการประทานวะฮฺยูลงมายังพวกท่าน ถือเป็นความจริงและถูกต้อง

7- การกล่าวอ้างถึงปาฏิหาริย์ สำหรับผู้ที่กรุการกล่าวอ้างการเป็นนบีจึงเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้, เพราะไม่เข้ากับภูมิปัญญาและคำชี้นำของพระเจ้า และการกล่าวปาฏิหาริย์ทำนองนี้ด้วยน้ำมือของผู้กล่าวเท็จย่อมเป็นสาเหตุทำให้บุคคลอื่นหลงทาง,เนื่องจากถ้าหน้าที่ของประชาชนคือการยอมรับคำกล่าวอ้างการเป็นนบีของทุกคนแล้วละก็ ย่อมนำไปสู่ความเสียหายอย่างแน่นอน และยังเป็นสาเหตุทำให้มีผู้กรุการกล่าวอ้างการเป็นนบีเพิ่มมากยิ่งขึ้น หรือปฏิเสธทุกคนที่กล่าวอ้างว่าเป็นนบี แน่นอนสิ่งนี้ย่อมขัดแย้งกับเป้าหมายของการประทานศาสดา และการชี้นำประชาชนอย่างแน่นอน, หรือจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานสำหรับการจำแนกการเป็นนบีที่มาจากพระเจ้าแก่ประชาชน เพื่อจะได้จำแนกได้ทันทีว่าผู้กล่าวอ้างจริงและเท็จเป็นอย่างไร และแน่นอน มาตรฐานนั้นก็คือมุอฺญิซะฮฺนั่นอง

8- ยังมีวิธีอื่นที่จะรู้จักความจริงสำหรับการกล่าวอ้างการเป็นนบี เช่น : การตรวจสอบเนื้อหาของวะฮฺยูในที่ขัดแย้งกับด้านใน, หรือในแง่ที่ขัดแย้งกับสติปัญญา เหตุผล และธรรมชาติ. ดังนั้น การกล่าวอ้างเรืองวะฮฺยูถ้าหากว่าขัดยังกับเหตุผลแน่นอนหรือสติปัญญาหรือธรรมชาติแล้วละก็ ถือว่าเป็นเท็จ และถ้าแตกต่างกันระหว่างประโยคต่าง หรือพบว่ามีความขัดแย้งกันระหว่างวะฮฺยูเหล่านั้น สิ่งนี้ย่อมเป็นเหตุผลที่ยืนยันถึงคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จนั้น

9- ตรวจสอบพฤติกรรมของผู้เรียกร้องการเป็นนบี ในแง่ของการมีความสมบูรณ์ทางศีลธรรม จิตใจ และพฤติกรรม, ซึ่งวิธีนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าคำกล่าวอ้างของเขาเป็นจริงหรือไม่

10- การแนะนำหรือการประกาศแจ้งของศาสดาคนก่อนหน้า หรือศาสดาร่วมสมัย,หรือคำชี้แจงที่อยู่ในตำราหรือคัมภีร์แห่งพระเจ้า ซึ่งสิ่งนี้นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งในการรู้จักนบี, โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรู้จักท่านศาสดาอิสลาม (ซ็อล )

คำตอบเชิงรายละเอียด

"วะฮฺยู" มีความหมายทางภาษาและความหมายในเชิงสติปัญญา[1] วะฮฺยูตามความหมายของคำหมายถึง "การโยกย้ายเรื่องราวโดยรวดเร็วอย่างลับๆ ไปยังบุรุษที่สอง"[2] ซึ่งครอบคลุมถึง "แรงบันดาลใจหรือการดลใจ" ส่วนความหมายในเชิงของสติปัญญา "วะฮฺยู" คือสติและการรับรู้พิเศษและลึกลับ (ไม่ใช่การคิดของปัญญา) จะไม่มีผู้ใดได้รับวะฮฺยู ยกเว้นมนุษย์ผู้ที่ได้รับความเมตตาพิเศษจากพระเจ้าเท่านั้น (บรรดาศาสดา) และวะฮฺยูจะถูกปกปิดไปจากความรู้สึกภายนอกด้วย[3]

วะฮฺยู ในแง่ของภาษานั้นมิได้จำกัดอยู่แค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น, ทว่าได้ครอบคลุมถึงบรรดาสรรพสัตว์ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิตซึ่งภายนอกอาจจะไม่มีการรับรู้เช่น (หิน) เป็นต้น. ซึ่งตามวัฒนธรรมของอัลกุรอานสภาพอันเป็นธรรมชาติ สำหรับผึ้งที่สร้างรวงรังผึ้งและผลิตน้ำผึ้งได้นั้น เป็นไปตามวะฮฺยูของพระเจ้าพระผู้ทรงสร้างสรรค์ซึ่งได้อธิบายแก่มัน[4] หรือการดลใจที่มีต่อมารดาของศาสดามูซา (.) เพื่อให้ช่วยเหลือบุตรของตน,โดยนางได้วางบุตรชายลงในกล่องและปล่อยลอยไปตามแม่น้ำไนล์, ซึ่งสิ่งนี้ก็ถือว่าเป็นวะฮฺยูด้วยเช่นกัน[5] หรือดั่งเช่นที่พระองค์ได้วะฮฺยูแก่ท้องฟ้าและแผ่นดิน[6]

นักเอรฟานบางคนกล่าวอ้างถึงวะฮฺยู ซึ่งน่าจะเป็นความหมายในเชิงภาษา หรือที่เรียกว่าการดลใจซึ่งจุดประสงค์คือการได้รับหรือการประจักษ์นั่นเอง

อิบนุอะเราะบีย์ กล่าวว่าการครอบคลุมวะฮฺยูมีเหนือจิตวิญญาณของบุคคลที่วะฮฺยูได้ประทานลงมาแก่เขา, มีความเข็มแข็งยิ่งกว่าการภาวะจิตใจซึ่งเป็นจิตวิญญาณของบุคคล, อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสว่า : และเราจะอยู่ใกล้ชิดกับเขายิ่งกว่าเส้นเลือดที่ลำคอของเขาดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่คิดว่าอัลลอฮฺได้วะฮฺยูแก่ท่าน, จงพิจารณาตัวของท่าน,แล้วใคร่ครวญดูซิว่าท่านลังเลใจหรือเคลือบแคลงสงสัย หรืออยู่ในสภาพที่ขัดแย้งกับจิตด้านในหรือไม่? ถ้าหากว่าตอนนั้นยังสงสัย ยังครุ่นคิด และยังวิเคราะห์อยู่แสดงให้เห็นว่าท่านมิใช่เจ้าของวะฮฺยู และไม่มีวะฮฺยูใดๆ ลงมาที่ท่านอย่างแน่นอน, แต่ทุกครั้งสิ่งที่มีมายังท่าน, ทำให้ท่านลืมตัวเองไปชั่วขณะ ดวงตาพร่ามัวคล้ายมืดบอด ไม่ได้ยินเสียงใดๆ และระหว่างท่านกับความคิดใคร่ครวญเหมือนมีกำแพงขวางกั้นอยู่,ประหนึ่งว่าบัญชานั้นได้ครอบคลุมท่านไว้ทั้งหมด, พึงรู้ไว้เถิดว่าวะฮฺยูได้ลงมาที่ท่านแล้ว[7] แน่นอน ประเด็นนี้มีคำพูดมากมายที่กล่าวถึงไว้ ซึ่งจะขออธิบายในเวลาอื่น,ในที่นี้จะขอนำเสนอคำพูดของนักปราชญ์บางท่านอันเป็นที่ยอมรับ ที่กล่าวไว้เช่น. ซ็อดรุลมุตะอัลลิฮีน ชีรอซีย์ (รฎ.) กล่าวไว้ในหนังสือ มะตีฮุลฆัยบฺ หลังจากอธิบายถึงแนวทางต่างๆ ในการศึกษาหาความรู้ (การศึกษาหาความรู้,ความโน้มน้าวในการให้) กล่าวคือการสั่งสอนของพระเจ้าโดยปราศจากสื่อกลาง, อาจเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะดังนี้ ลักษณะแรก,คือการประทานวะฮฺยู,ลักษณะที่สองคือ การดลใจ,โดยกล่าวว่า : สรุปว่าการดลใจคือภารกิจหนึ่งซึ่งครอบคลุมทั้งบุคคลที่เป็นศาสดาและหมู่มิตรของพระองค์, ส่วนวะฮฺยูนั้นเฉพาะเจาะจงสำหรับบุคคลที่เป็นศาสดาเท่านั้น, เนื่องจากท่านเหล่านี้คือหลักประกันตำแหน่งการเป็นศาสดาและสาส์นของพระองค์[8] หลังจากนั้นท่านได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างวะฮฺยูกับการอิลฮาม,และยังได้กล่าวถึงบทบาทของสื่อกลางในการถ่ายทอดวะฮฺยูและการอิลฮาม[9]

กัยซัรรีย์ กล่าวไว้ในบทนำของหนังสือ ฟุซูซุลฮิกัม ของอิบนุอะเราะบีย์ และได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างอิลฮามกับวะฮฺยู หลังจากนั้นได้กล่าวถึงความแตกต่างๆ เอาไว้ โดยกล่าวว่าวะฮฺยูคือความพิเศษอันเฉพาะสำหรับนบีเท่านั้น...ส่วนอิลฮามคือความเฉพาะพิเศษสำหรับวิลายะฮฺ และ ...[10]

ด้วยเหตุนี้ อาจเป็นไปได้ว่า, จะมีผู้กล่าวอ้างวะฮฺยูในทุกยุคสมัยก็ได้,แต่ต้องระบุให้ชัดเจนลงไปว่าจุดประสงค์ของเขาหมายถึง วะฮฺยูในเชิงสติปัญญาที่มาพร้อมการกล่าวอ้างการเป็นนบี หรือวัตถุประสงค์ของเขาคือการหยั่งรู้ไปถึงระดับหนึ่งที่เรียกว่าเป็นการค้นพบโดยสัญชาติญาต หรือเรียกว่าได้อิลฮามจากพระเจ้า? ตามสมมุติฐานที่สอง ถือว่าเขาเป็นอาริฟคนหนึ่ง มิใช่ศาสดา ดังนั้น เพื่อพิสูจน์คำพูดของเขาว่าเป็นความจริงหรือไม่ จำเป็นต้องย้อนไปศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประเด็นนี้

แต่ถ้าวัตถุประสงค์ของเขา,คือวะฮฺยูในเชิงสติปัญญาซึ่งมลาอิกะฮฺเป็นผู้นำวะฮฺยูลงมาให้เขา หรือนำดำรัสของพระเจ้ามายังเขา,เวลานั้นการวิพากษ์ด้านศาสนศาสตร์ก็จะเกิดขึ้นโดยปริยาย ซึ่งจะต้องเน้นย้ำให้เห็นว่า แนวทางการรู้จักนบีเป็นอย่างไร และเราจะจำแนกระหว่างผู้ที่เป็นนบีกับผู้แจ้งข่าวได้อย่างไร?

ปกติแล้วจุดประสงค์ของผู้ถามก็คือ เป้าหมาย และการรอบรู้ถึงแนวทางในการยืนยันความกล่าวอ้างการเป็นนบี, ด้วยเหตุนี้ เราสามารถตั้งคำถามเช่นนี้ว่า :ถ้าหากมีผู้กล่าวอ้างว่าเป็นนบี,จะสามารถรับรู้ถึงความจริงในการกล่าวอ้างของเขาได้อย่างไร?

ถ้าหากบุคคลหนึ่งกล่าวอ้างถึง วะฮฺยู นบูวัต และสาส์นจากพระเจ้า, ดังนั้น เขาต้องนำเสนอสัญลักษณ์หรือมีเหตุผลที่เชื่อถือได้ หรือพยานหลักฐานต่างๆ เนื่องจากวะฮฺยูมิใช่ภารกิจสำหรับทุกคนหรือใช่ว่าทุกคนจะได้รับวะฮฺยู ประกอบกับมลาอิกะฮฺแห่งวะฮฺยูจะไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเด็ดขาดนอกจากผู้ที่เป็น ศาสดา เท่านั้น และจะไมปรากฏสัญญาณแก่ผู้ใดด้วย. การพิสูจน์ปาฏิหาริย์ที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาได้ ต้องอาศัยปาฏิหาริย์อีกประการหนึ่งที่มองเห็นได้ เพื่อว่าเมื่อผู้คนได้เห็นปาฏิหาริย์แล้ว เขาจะได้เชื่อถือได้ว่าผู้ที่กล่าวอ้างตนเป็นนบี มีการติดต่อกับแหล่งแห่งอำนาจที่เหนือธรรมชาติ และเหนือวัตถุทั้งหลาย เขาได้พึ่งพิงอำนาจที่ไม่ใช่อำนาจธรรมดาสามัญ หรือมิใช่อำนาจทางวัตถุ และวะฮฺยูได้ประทานลงมาที่เขา เขามีการสัมพันธ์ติดต่อกับพระเจ้า, เป็นเจ้าของปาฏิหาริย์, มีศักยภาพในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ซึ่งสามัญชนไม่อาจกระทำได้ และในที่สุดแล้วได้ยอมรับฟังคำพูดของเขา

จากคำอธิบายข้างต้นเข้าใจได้ว่า ทุกประชาชาติได้เรียกร้องการแสดงปาฏิหาริย์จากศาสดาแห่งยุคของตน อันเป็นสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขา และบรรดาศาสดาเหล่านั้นก็ได้ตอบสนองคำเรียกร้องของพวกเขา ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ และนำโองการต่างๆ มาสั่งสอน อัลกุรอานกล่าวว่าโดยแน่นอน เราได้ส่งบรรดาศาสนทูตของเราพร้อมด้วยหลักฐานทั้งหลายอันชัดแจ้ง (ปาฏิหาริย์และเหตุผลอันชัดเจน) และเราได้ประทานคัมภีร์และความยุติธรรมลงมาพร้อมกับพวกเขา เพื่อมนุษย์จะได้ดํารงอยู่บนความเที่ยงธรรม[11]

คำนิยามของ มุอฺญิซะฮฺ : แน่นอนสำหรับมุอฺญิซะฮฺ ได้มีคำอธิบายไว้มากมาย, แต่ถ้าไม่ใส่ใจต่อคำนิยามเหล่านั้นละก็ เราสามารถกล่าวได้ดังนี้ว่า มุอฺญิซะฮฺคือ :ภารกิจพิเศษที่เหนือการคาดหมายและพ้นญาณวิสัยของมนุษย์ ซึ่งเฉพาะศาสดาของพระองค์เท่านั้นที่สามารถแสดงปาฏิหาริย์นั้นได้ มนุษย์สามัญชนทั่วไปแม้ว่าจะทุ่มเทพลังความสามารถทั้งหมดลงไป ก็ยังไร้ความสามารถในการแสดงมุอฺญิซะฮฺอยู่ดี[12]

จากนิยามดังกล่าว เข้าใจได้ว่ามุอฺญิซะฮฺต้องมีลักษณะพิเศษต่างไปจากภารกิจทั่วไป ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ประการแรก : มุอฺญิซะฮฺ ตามนามชื่อแล้วเป็นที่ประจักษ์ว่า,เป็นภารกิจหนึ่งซึ่งสามัญชนทั่วไปไร้ความสามารถในการแสดง อีกทั้งได้แสดงให้เห็นความไร้สามารถของคนอื่น,กล่าวคือ เป็นภารกิจที่เหนือธรรมชาติและอยู่พ้นญาณวิสัยของมนุษย์ปุถุชน อยู่เหนือศักยภาพและความสามารถของมนุษย์ มิใช่ภารกจิที่ได้มาจากการศึกษาร่ำเรียน หรือการฝึกฝนแต่อย่างใด, ประการที่สอง : มุอฺญิซะฮฺ คือการจำแนกระหว่างผู้เป็นนบีกับมิใช่นบี การแสดงปาฏิหาริย์นี้จะเป็นหลักฐานและเป็นเหตุผลที่ไม่มีวันพ่ายแพ้ อีกทั้งไม่สามารถทำลายได้ด้วย ...[13]

ตัวอย่าง เช่น การทำในซากศพที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพอีกครั้งโดยท่านศาสดาอีซา (.) ซึ่งภารกิจดังกล่าวนี้, นอกจากจะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติแล้ว, ยังเป็นการพิสูจน์คำกล่าวอ้างการเป็นศาสดาของท่านจากอัลลอฮฺอีกด้วย, อีกทั้งเป็นการพิสูจน์ความไร้สามารถของคนอื่นในการนำปาฏิหาริย์มาอีกด้วย และยังเป็นข้อพิสูจน์และเป็นเหตุผลที่ไม่อาจลบล้างได้

การแสดงภารกิจเหล่านี้โดยบรรดาศาสดาถือว่าเป็นเหตุผลอันชัดแจ้งแล้วว่า วะฮฺยู ก็เป็นอีกภารกิจหนึ่งที่เหนือธรรมชาติและเกิดขึ้นจริง ตามกฎเกณฑ์ที่รู้จักกันดีว่า

"حکم الامثال فیما یجوز و فیما لایجوز واحد"،[14]

สามารถสรุปได้ว่า : จากอำนาจเร้นลับหนึ่งที่ทำให้ไม้เท้าของศาสดามูซา (.) กลายเป็นงูใหญ่, พระดำรัสของพระเจ้าก็ถือว่าเป็นความเร้นลับหนึ่งเช่นกัน, เนื่องจากทำให้ตัวเองตื่นตัวในความรู้ และยังให้ความรู้แก่คนอื่นอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้, สำคัญที่สุดสำหรับการรู้จักความสัตย์จริงของบุคคลหนึ่ง ที่กล่าวอ้างการเป็นนบีและได้รับวะฮฺยูก็คือมุอฺญิซะฮฺซึ่งเราสามารถเชื่อหรือมีอีมานกับบุคคลที่กล่าวอ้างการเป็นนบี โดยแสดงปาฏิหาริย์เพื่อพิสูจน์การเป็นนบีของเขา และยังสามารถยอมรับคำเชิญชวนของเขาได้ ดังนั้น ตามความเป็นจริงแล้วมุอฺญิซะฮฺ

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ชีวิตและจิตวิญญาณต้องนอนหลับหรือตายด้วยหรือไม่ ?
    6373 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    ปัญหาเรื่องจิตวิญญาณและแก่นแท้ของมันเป็นปัญหาที่พิพาทถกเถียงกันมาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันซึ่งจัดได้ว่าเป็นปัญหาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคำถามข้างต้นก็ได้ก็เป็นผลพวงและแหล่งที่มาจากคำถามนี้เองที่ว่าแก่นแท้ของมนุษย์ก็คือ กายภาพอันเป็นวัตถุตามลักษณะที่ปรากฏกระนั้นหรือหรือว่าเบื้องหลังของมันยังมีสิ่งอื่นที่ซ่อนเร้นอยู่อีกซึ่งตาเนื้อธรรมดาไม่อาจมองเห็นได้ซึ่งอยู่นอกเหนือคุณสมบัติของวัตถุและมีลักษณะศักดิ์สิทธิ์และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงสิ่งนั่นเป็นวัตถุหรือนามธรรมที่ไร้สถานะและชะตากรรมของสิ่งนั้นภายหลังจากการตายของร่างกายจะเป็นอย่างไร?คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นนี้สามารถอธิบายในเชิงของทฤษฎีบท,ในลักษณะที่เป็นเชิงตรรกะเพื่อจะได้ไปถึงยังบทสรุป
  • จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
    13106 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ที่ไม่มีความจำกัด พระองค์ทรงมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ การสร้าง (บังเกิด) เป็นความงดงาม และพระองค์คือผู้มีความงดงามความงดงามอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ เป็นตัวกำหนดว่าพระองค์ทรงสร้างทุกอย่างขึ้นตามคุณค่าของมัน ดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างเป็นเพราะพระองค์คือผู้งดงาม หมายถึงจุดประสงค์และเป้าหมายในการสร้างของพระองค์นั้นงดงาม อีกด้านหนึ่งคุณลักษณะอาตมันของพระเจ้าไม่ได้แยกออกจากอาตมันของพระองค์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างคือ อาตมันของพระเพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยให้มีแนวโน้มที่ดีและความชั่วร้ายภายใน และทรงประทานผู้เชิญชวนภายนอก 2 ท่าน ที่ดีได้แก่ศาสดา (นบี) และความชั่วร้ายได้แก่ชัยฎอน (ปีศาจ), ทั้งนี้มนุษย์สามารถบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดของสรรพสิ่งที่อยู่หรือก้าวไปสู่ความชั่วช้าที่ต่ำทรามที่สุดก็เป็นได้ ทั้งที่มนุษย์นั้นมีพลังของเดรัจฉานและการลวงล่อของซาตานที่ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา ...
  • เหตุใดท่านอิมามอลี(อ.)จึงวางเฉยต่อการหมิ่นประมาทท่านหญิงฟาฏิมะฮ์?
    7196 ประวัติหลักกฎหมาย 2554/10/09
    การที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ถูกทุบตีมิได้ขัดต่อความกล้าหาญของท่านอิมามอลี(อ.) เพราะในสถานการณ์นั้นท่านต้องเลือกระหว่างการจับดาบขึ้นสู้เพื่อทวงสิทธิของครอบครัวที่ถูกละเมิดหรือจะอดทนสงวนท่าทีแล้วหาทางช่วยเหลืออิสลามด้วยวิธีอื่นจากการที่การจับดาบขึ้นสู้ในเวลานั้นเท่ากับการต่อต้านและสร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิมอันจะทำให้สังคมมุสลิมยุคแรกอ่อนเปลี้ยส่งผลให้กองทัพโรมันเหล่าศาสดาจอมปลอมและผู้ตกศาสนาจ้องตะครุบให้สิ้นซากท่านอิมามอลี(อ.)ยอมสละความสุขของตนและครอบครัวเพื่อผดุงไว้ซึ่งอิสลามศาสนาที่เป็นผลงานคำสอนทั้งชีวิตของท่านนบี(ซ.ล.)และการเสียสละของเหล่าชะฮีดในสมรภูมิต่างๆ ...
  • ท่านอิมามฮุซัยนฺและเหล่าสหายในวันอาชูทั้งที่มีน้ำอยู่เพียงน้อยนิด และฆุซลฺได้อย่างไร?
    5642 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/11/21
    การพิจารณาและวิเคราะห์รายงานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความกระหายของเหล่าสหายและบรรดาอธฮฺลุลบัยตฺของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) และรายงานที่กล่าวถึงการฆุซลฺ (อาบน้ำตามหลักการ
  • ทำไมเราจึงต้องมีเพียงสิบสองอิมามเท่านั้น ในยุคสมัยของอิมามที่ไม่ปรากฏตัว เราจะสามารถหาทางรอดพ้นได้อย่างไร?
    6370 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/03
    ตำแหน่งอิมามเป็นตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า การกำหนดตัวบุคคลที่จะขึ้นมาเป็นอิมามและจำนวนของอิมามนั้นขึ้นกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและทางเดียวที่เราจะสามารถรับรู้ถึงเจตนาดังกล่าวได้ก็คือฮะดีษของท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) นั่นเองท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวถึงบุคคลและจำนวนของอิมาม(อ
  • ฮะดีษที่ว่า “ผู้ใดสิ้นลมโดยปราศจากสัตยาบัน ถือว่าเขาตายในสภาพญาฮิลียะฮ์” รวมถึงตัวท่านนบี(ซ.ล.)ด้วยหรือไม่?
    7978 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/01/19
    สัตยาบัน(บัยอัต)มีสองด้านด้านหนึ่งคือผู้นำ(นบี,อิมาม) อีกด้านหนึ่งคือผู้ตามในเมื่อท่านนบีเป็นผู้นำจึงถือเป็นฝ่ายได้รับสัตยาบันมิไช่ฝ่ายที่ต้องให้สัตยาบันแน่นอนว่าฮะดีษนี้ต้องการจะสื่อว่าลำพังการรู้จักอิมามยังไม่ถือว่าเพียงพอแต่จะต้องเจริญรอยตามด้วยอย่างไรก็ดีฮะดีษข้างต้นมิได้หมายรวมถึงท่านนบี(ซ.ล.)เนื่องจากเหตุผลที่กล่าวไปแล้วส่วนประเด็นการแต่งตั้งตัวแทนภายหลังจากท่านนบี(ซ.ล.)นั้นเรามีหลักฐานที่ชัดเจนระบุว่าท่านนบี(ซ.ล.)ได้แต่งตั้งท่านอิมามอลี(อ.)เป็นตัวแทนภายหลังจากท่านรายละเอียดโปรดคลิกอ่านจากคำตอบแบบสมบูรณ์ ...
  • ศาสนาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
    12885 เทววิทยาใหม่ 2554/06/02
    การที่จะสามารถนิยามความสัมพันธระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมจารีตได้นั้นขั้นแรกต้องเข้าใจถึงลักษณะจำเพาะเป้าประสงค์และผลผลิตของทั้งศาสนาและวัฒนธรรมเสียก่อน.บางคนปฎิเสธความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมโดยสิ้นเชิงทัศนคตินี้ค่อนข้างจะไร้เหตุผลทั้งนี้ก็เพราะแม้ว่าวัฒนธรรมจารีตบางประเภทอาจจะผิดแผกและไม่เป็นที่ยอมรับโดยศาสนาเนื่องจากขัดต่อเป้าประสงค์ที่ศาสนามุ่งนำพามนุษย์สู่ความผาสุกแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ายังมีวัฒนธรรมจารีตอีกมากมายที่สอดคล้องและได้รับการยอมรับโดยศาสนายิ่งไปกว่านั้นยังมีวัฒนธรรมจารีตบางส่วนที่เกิดขึ้นจากคุณค่าที่ได้รับการฟูมฟักโดยศาสนาเช่นกัน. ...
  • หากในท้องปลาที่ตกได้ มีปลาตัวอื่นอีกด้วย จะรับประทานได้หรือไม่?
    5871 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/17
    มีการสอบถามคำถามทำนองนี้ไปยังสำนักงานของบรรดามัรญะอ์ตักลีดบางท่านซึ่งท่านได้ให้คำตอบดังนี้ท่านอายาตุลลอฮ์คอเมเนอี:ปลาที่ตกได้ถือว่าฮะลาลท่านอายาตุลลอฮ์ซิซตานี:อิห์ติยาฏวาญิบ(สถานะพึงระวัง) ถือว่าเป็นฮะรอมท่านอายาตุลลอฮ์ฟาฎิลลังกะรอนี:หากปลาที่ตกมาได้เป็นปลาประเภทฮาลาลก็ถือว่าเป็นอนุมัติท่านอายาตุลลอฮ์มะการิมชีรอซี:อิห์ติยาฏควรจะหลีกเลี่ยง[1]อายาตุลลอฮ์อะรอกี:อิห์ติยาฏควรจะหลีกเลี้ยงเนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้ว่าตอนที่มันออกมามีชีวิตหรือไม่ดังนั้นถือว่าไม่สะอาด[2]อายาตุลลอฮ์นูรีฮาเมดอนี:ถือว่าฮาลาล[3]ดังที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่าบรรดามัรญะอ์มีทัศนะที่แตกต่างกันไปเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวแต่สามารถสรุปได้โดยรวมว่าหากมีสัตว์ที่อยู่ในท้องของปลาที่จับมาได้หากสัตว์ตัวนั้นเป็นปลาหรือเป็นสัตว์น้ำชนิดที่รับประทานได้ตามหลักศาสนาโดยขณะที่เราเอาผ่าออกมาเราแน่ใจว่าสัตว์น้ำดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ถือว่าฮาล้าลส่วนกรณีที่ต่างไปจากนี้อาทิเช่นเมื่อได้ผ่าท้องปลาและเห็นว่าสัตว์ที่อยู่ในท้องมันตายแล้วก่อนหน้านั้นถือว่าไม่สามารถรับประทานสัตว์น้ำดังกล่าวได้ส่วนในกรณีที่สาม (ไม่รู้ว่าสัตว์น้ำในท้องปลายังมีชีวิตหรือไม่) ในกรณีนี้บรรดามัรญะอ์มีทัศนะที่แตกต่างกันไปดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นดังนั้นมุกัลลัฟแต่ละจะต้องทำตามฟัตวาของมัรญะอ์ของตน
  • อัลลอฮฺ ทรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติด้วยหรือไม่?
    5818 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    อัลลอฮฺ คือพระผู้ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ อาตมันสากลของพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากความต้องการของพระองค์ หรือเว้นเสียแต่ว่าความประสงค์ของพระองค์ต้องการที่จะปฏิบัติภารกิจหนึ่ง ซึ่งทรงเป็นสาเหตุของการเกิดสิ่งนั้น ขณะเดียวกันการละเมิดกฎต่างๆในโลกที่ต่ำกว่า โดยพลังอำนาจที่ดีกว่าของพระองค์ถือเป็น กฎเกณฑ์อันเฉพาะ และเป็นประกาศิตที่มีความเป็นไปได้เสมอ ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า ปาฏิหาริย์,แน่นอน ปาฏิหาริย์มิได้จำกัดอยู่ในสมัยของบรรดาศาสดาเท่านั้น ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสมัย เพียงแต่ว่าปาฏิหาริย์ได้ถูกมอบแก่บุคคลที่เฉพาะเท่านั้น เป็นความถูกต้องที่ว่าความรู้มีความจำกัดและขึ้นอยู่ยุคสมัยและสภาพแวดล้อม ไม่มีความรู้ใดยอมรับหรือสนับสนุนเรื่องมายากล และเวทมนต์ แต่คำพูดที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือ เจ้าของความรู้เหล่านั้นบางครั้ง ได้แสดงสิ่งที่เลยเถิดไปจากนิยามของความรู้หรือที่เรียกว่า มายากล เวทมนต์เป็นต้น อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า สิ่งนั้นคือการมุสาและการเบี่ยงเบนนั่นเอง ...
  • ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมกับจริยศาสตร์คืออะไร? สิ่งไหนครอบคลุมมากกว่ากัน? และการตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์กับจริยธรรมอันไหนครอบคลุมมากกว่า?
    20839 จริยธรรมทฤษฎี 2555/04/07
    คำว่า “อัคลาก” ในแง่ของภาษาเป็นพหูพจน์ของคำว่า “คุลก์” หมายถึง อารมณ์,ธรรมชาติ, อุปนิสัย, และความเคยชิน,ซึ่งครอบคลุมทั้งอุปนิสัยทั้งดีและไม่ดี นักวิชาการด้านจริยศาสตร์,และนักปรัชญาได้ตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์ไว้มากมาย. ซึ่งในหมู่การตีความทั้งหลายเหล่านั้นของนักวิชาการสามารถนำมารวมกัน และกล่าวสรุปได้ดังนี้ว่า “อัคลาก ก็คือคุณภาพทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่มีความเหมาะสม หรือพฤติกรรมอันเหมาะสมของมนุษย์ที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวันตน” สำหรับ ศาสตร์ด้านจริยธรรมนั้น มีการตีความไว้มากมายเช่นกัน ซึ่งในคำอธิบายเหล่านั้นเป็นคำพูดของท่าน มัรฮูม นะรอกียฺ กล่าวไว้ในหนังสือ ญามิอุลสะอาดะฮฺว่า : ความรู้ (อิลม์) แห่งจริยศาสตร์หมายถึง การรู้ถึงคุณลักษณะ (ความเคยชิน) ทักษะ พฤติกรรม และการถูกขยายความแห่งคุณลักษณะเหล่านั้น การปฏิบัติตามคุณลักษณะที่แตกต่างกันในการช่วยเหลือให้รอดพ้น หรือการการปล่อยวางคุณลักษณะที่นำไปสู่ความหายนะ” ส่วนการครอบคลุมระหว่างจริยธรรมกับศาสตร์แห่งจริยธรรมนั้น มีคำกล่าวว่า,ความแตกต่างระหว่างทั้งสองมีอยู่เฉพาะในทฤษฎีเท่านั้นเอง ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากจะกล่าวว่า สิ่งไหนมีความครอบคลุมมากกว่ากันจึงไม่มีความหมายแต่อย่างใด ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59465 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56925 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41727 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38481 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38467 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33503 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27576 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27303 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27194 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25268 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...