การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9204
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2553/10/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2951 รหัสสำเนา 10191
หมวดหมู่ รหัสยปฏิบัติ
คำถามอย่างย่อ
ความใกล้ชิดกับพระเจ้าคืออะไร มีประเภทใดบ้าง ? และจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
คำถาม
ความใกล้ชิดกับพระเจ้าคืออะไร มีประเภทใดบ้าง ? และจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
คำตอบโดยสังเขป

ค่าว่า กุรบุน หมายความว่าความใกล้กันของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่ง บางครั้งความใกล้ชิดนี้อาจเป็นสถานที่ใกล้เคียง และบางครั้งก็อาจเป็นเวลา ดังนั้น กุรบุน จึงอาจเป็นสถานที่หรือเวลาก็ได้ ส่วนในความในทัศนะทั่วไป คำว่า กุรบุน อาจใช้ในความหมายอื่นก็ได้ กล่าวคือ หมายถึงการมีคุณค่า ศักดิ์ศรีและฐานันดรใกล้เคียงกันในสายตาคนอื่น

ประเภทของ กุรบุน ในทัศนะของปรัชญา :

คำว่า กุรบุน ในทัศนะของปรัชญา, แบ่งออกเป็น 3 ประเภทกล่าวคือ: ความใกล้ชิดด้านสถานที่และ (เวลา), ความใกล้ชิดด้านประเภทของสิ่งของ, ความใกล้ชิดของการมีอยู่ สวนความใกล้ชิดด้านสถานที่และเวลานั้น ได้จำกัดอยู่ในอวัยวะ ร่างกาย และส่วนประกอบของจักรวาล อันเนื่องจากว่าพระเจ้านั้นทรงบริสุทธิ์จากการมีร่างกาย จึงไม่สามารถกล่าวได้กับพระองค์ ส่วนความใกล้ชิดด้านประเภทของสิ่ง เช่น ความใกล้ชิดของซัยด์ อัมร์ และอะลี ในธรรมชาติของความมนุษย์ ซึ่งพวกเขามีความคล้ายเหมือนกันในสภาพของสัตว์ประเสริฐที่พูดได้ แต่สำหรับพระเจ้าผู้ทรงอนันต์ เนื่องจากการมีอยู่ของพระองค์ไม่มีที่สิ้นสุดและเป็นการมีอยู่ที่สัมบูรณ์ พระองค์จึงไม่มีองค์รูป ฉะนั้น ความใกล้ชิดเหล่านี้จึงไม่อาจกล่าวได้กับพระองค์

แต่ความใกล้ชิดในด้านของการมีอยู่ เนื่องจากพระเจ้านั้นคือ พระผู้ทรงให้ และเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง ประกอบกับเป็นไปไม่ได้ที่สาเหตุสัมบูรณ์จะแยกออกจากมูลเหตุของตนเอง และมูลแหตุนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องโดยตรงกับสาเหตุของตน ดังนั้น ความใกล้ชิดของพระเจ้าที่มีต่อสรรพสิ่ง ก็เนื่องจากความใกล้ชิดของการมีอยู่ของพระองค์ไปยังสรรพสิ่งเหล่านั้น

ความใกล้ชิดของอัลลอฮฺกับสรรพสิ่ง :

ความใกล้ชิดของพระเจ้าที่มีต่อเรานั้น โองการอัลกุรอานได้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้

. โองการบางกลุ่มบ่งชี้ถึงรากที่มาของความใกล้ชิดว่า พระเจ้าทรงใกล้ชิดกับเรา

. โองการกุล่มที่สองบ่งชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าเป็นผู้ใกล้ชิดกับเรามากกว่าที่คนอื่นจะใกล้ชิด

ค. โองการกลุ่มที่สาม แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร เป็นผู้ใกล้ชิดกับมนุษย์ยิ่งกว่าเส้นหลอดเลือดแดง (คอ) ของเขาเสีย

ง. โองการกลุ่มที่สี่, บ่งชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงใกล้ชิดกับมนุษย์ ยิ่งกว่าตัวของเขาเองเสียอีก ฉะนั้น ในอาการอธิบายของโองการกลุ่มที่สี่ควรจะกล่าวว่า: การมีอยู่ของมนุษย์นั้นภายในว่างเปล่า ทว่าการมีอยู่ของเขาก็เหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่ตรงกลางว่างเปล่า ด้วยเหตุนี้ ระหว่างมนุษย์กับการมีอยู่ของตัวเอง จึงมีช่องว่างในการควบคุมการมีอยู่

วิธีการใกล้ชิดพระเจ้าในมุมมองทางปรัชญา :

เป็นที่ชัดเจนว่าพระเจ้านั้นทรงปราศจากด้านและทิศทาง เพื่อว่ามนุษย์จะได้ใกล้ชิดกับพระองค์ในหนทางเหล่านั้น ทว่าความใกล้ชิดของพระเจ้า เกิดจากการเสริมสร้างผลงานในการดำรงอยู่ของมนุษย์ เพื่อที่ว่าจะได้สามารถเป็นแห่งสำแดงพระนามอันไพจิตและคุณลักษณะของพระเจ้า และอยู่ในหนทางของความเจริญรุ่งเรือง ฉะนั้น ความสมบูรณ์แบบต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์มีมากเท่าใด ขั้นของความใกล้ชิดต่อพระเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น

ความใกล้ชิดพระเจ้าและขั้นตอนจากมุมมองโองการและรายงาน : เพราะพระเจ้าอยู่ผู้ทรงยิ่งใหญ่อนันต์ ทรงใกล้ชิดกับทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ต้องพยายามกระทำสิ่งที่ดีงาม เพื่อให้ความใกล้ชิดของพระเจ้าบังเกิดขึ้น วิธีการนี้การงานของมนุษย์จึงแบ่งออกเป็น 2 ส่วน กล่าวคือ

ข้อบังคับเหนือตัวและนาฟิละฮฺ การกระทำที่มีบทบาทและถือเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความใกล้ชิดคือ การรู้จักและความจริงใจและความบริสุทธิ์ใจในการกระทำ, ส่วนการกระทำที่เหลือ เช่น: ความอ่อนน้อมถ่อมตน การมีมารยาทดีงาม การกระทำดี และมีความเมตตา และการกระทำอื่นๆที่คล้ายคลึงกัน ถือว่าอยู่ในกฎของนาฟิละฮฺ

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำว่า กุรบุน ในเชิงภาษาหมายถึง ความใกล้ชิดของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่ง ซึ่งความใกล้ชิดเหล่านี้บางครั้งอาจเป็นสถานที่ และบางครั้งก็อาจเป็นเวลา ดังนั้น จึงสามารถกล่าวได้ว่า สิ่งหนึ่ง (ในมุมมองของสถานที่) ใกล้ชิดกับอีกสิ่งหนึ่งที่กำหนดแน่นอน และมีระยะห่างตายตัว หรือเมื่อวานนี้ (ในมุมมองของเวลา) กับวันนี้มีความใกล้กันยิ่งกว่าเมือสองวันที่แล้ว  อย่างไรก็ตามยังมีการใช้งานคำว่า กุรบุน ในความหมายของสามัญทั่วไป ซึ่งคำว่า กุรบุน ถูกใช้ในประเด็นที่เป็นความชื่นชอบส่วนบุคคล เช่น คุณค่าหรือมีศักดิ์ศรีหรือมีตำแหน่งใกล้กัน

ประเภทของความใกล้ชิดจากมุมมองของปรัชญา :

ความใกล้ชิดแบ่งออกเป็น 3 ประเภท : ความใกล้ชิดในเชิงสถานที่ และ (เวลา) ความใกล้ชิดซึ่งมีการเชื่อมต่อกันในฐานะของการมีอยู่ หรือความใกล้ชิดในความหมายของการเชื่อมต่อกันขององค์รูป ความใกล้ชิดและความห่างไกล ซึ่งการเกิดขึ้นของทั้งสองมี 2 สิ่งที่จำเป็น ตัวอย่าง เช่น ต้องมี "A" และ"B" เสียก่อนจึงจะบังเกิดความใกล้ชิดระหว่าง A" และ"B หรือห่างไกลกันระหว่าง A" และ"B เป็นจริงได้ อย่างนี้เรียกว่าเป็นความใกล้ชิดในเชิงของสถานที่ ซึ่งสามารถกล่าวได้กับองค์ประกอบทางกายภาพของจักรวาลและร่างกาย หรือความใกล้ชิดในแง่ของเวลาซึ่งมีการระบุเวลาที่แน่นอน มีความใกล้ชิดกันยิ่งกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเวลาอื่นที่ได้สัมพันธ์ไปยังเลาที่สาม และในสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ซึ่งบริสุทธิ์จากข้อบกพร่องและขอบเขตจำกัดในแง่ของกายภาพและการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแก่นแท้ของการมีอยู่ การมีอยู่ที่ไม่มีที่สิ้นสุด การมีอยู่บริสุทธิ์ การมีอยู่อย่างอนันต์ การมีอยู่อย่างสัมบูรณ์ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด (ไม่ทรงพึ่งพิงให้ผู้อื่นต้องรุบุชี้ถึงพระองค์ หรือสร้างจินตนาพระองค์ในความคิด และไม่มีใครที่จะไม่พึ่งพิงหรือไม่ปรารถนาในพระองค์)[1]

แต่ความใกล้ชิดในความหมายของการเชื่อมต่อขององค์รูป, ไม่อาจกล่าวได้กับพระเจ้า เนื่องจากองค์รูปในสถานภาพนี้เป็นไปโดยอาศัยเครื่องหมายของการมีอยู่ของ องค์รูปในความหมายอันเพราะ ซึ่งองค์ประกอบนั้นอยู่ในชั้นของสรรพสิ่ง และเรียกสิ่งนั้นว่า ชนิด หรือประเภท เป็นการแนะนำขอบเขตของการมีอยู่ ซึ่งพระเจ้านั้นบริสุทธิ์จากองค์รูป[2] หมายความว่าไม่มีขอบเขตสำหรับพระองค์ เพื่อว่าองค์รูปของสรรพสิ่งอื่นจะได้สัมพันธ์ด้านใกล้ชิดหรือห่างไกลไปยังองค์รูปของพระองค์ “ผู้ใดอ้างการมีเครื่องหมายแก่พระองค์ย่อมเท่ากับจำกัดขอบเขตแก่พระองค์ ผู้ใดจำกัดขอบเขตแก่พระองค์ย่อมนับจำนวนของพระองค์”[3]

คนสองคนที่มีส่วนร่วมในองค์รูปเดียวกัน ทั้งสองนั้นมีลักษณะเหมือนกัน เช่น ซัยด์ และอัมร์, ซึ่งมีส่วนร่วมในองค์รูปของความเป็นมนุษย์ ขณะที่พระเจ้าทรงบริสุทธิ์จาก การต่อต้าน การคล้ายเหมือน และการแบ่ง

แต่การเชื่อมต่อด้านจิตวิญญาณในแง่การมีอยู่

แต่ความใกล้ชิดในด้านของการมีอยู่ เนื่องจากพระเจ้านั้นคือ พระผู้ทรงให้ และเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง ประกอบกับเป็นไปไม่ได้ที่สาเหตุสัมบูรณ์จะแยกออกจากมูลเหตุของตนเอง ดังเช่นการแยกตัวของมูลเหตุออกจากสาเหตุสมบูรณ์นั้นก็เป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าความจริงข้างต้นจะกล่าวถึงสาเหตุสมบูรณ์และมูลเหตุก็ตาม เนื่องจากการไม่เท่าเทียมพระเจ้าคือเกียรติยศแห่งการมีอยู่ของพระองค์ ดังนั้น จึงไมมีสิ่งมีอยู่ใดมีความใกล้ชิดในแง่ของการเชื่อมต่อกับพระองค์ อัลกุรอานกล่าว่า “และเมื่อบ่าวของข้าถามเจ้าถึงข้าแล้วก็ (จงตอบเถิดว่า) แท้จริงข้านั้นอยู่ใกล้”[4]

วาญิบตะอาลากับสิ่งไม่คล้ายเหมือนมีความจีรังถาวร มั่นคงและมีความสูงศักดิ์ ซึ่งสรรพสิ่งที่มีอยู่ในการมีอยู่ของตนนั้น[5] มีความความสัมพันธ์ต่อเนื่อง หมายถึงถ้าไม่รู้จักสาเหตุสมบูรณ์ มูลเหตุก็จุไม่ถูกรู้จักเช่นกัน ดังนั้น ความใกล้ชิดของพระเจ้าที่มีต่อสรรพสิ่ง ก็เนื่องจากความใกล้ชิดของการมีอยู่ของพระองค์ไปยังสรรพสิ่งเหล่านั้น ก็เนื่องจากความใกล้ชิดในการมีอยู่ ไม่มีความใกล้ชิดใดที่จะใกล้ชิดยิ่งไปกว่านี้ เนื่องจากมีอยู่ในทุกที่ พระเจ้าทรงเป็นผู้เริ่มต้น ทรงเป็นผู้ประทาน และทรงยืนหยัดแก่มูลเหตุของตน[6]

ความใกล้ชิดของพระเจ้ากับสรรพสิ่ง :

ความใกล้ชิดของพระเจ้าที่มีต่อเรานั้น สามารถจัดแบ่งโองการอัลกุรอานได้เป็น 4 กลุ่มดังนี้

1) โองการบางกลุ่มบ่งชี้ถึงรากที่มาของความใกล้ชิดว่า พระเจ้าทรงใกล้ชิดกับเรา เช่น โองการที่กล่าวว่า : “และเมื่อบ่าวของข้าถามเจ้าถึงข้าแล้วก็ (จงตอบเถิดว่า) แท้จริงข้านั้นอยู่ใกล้”[7]

2) โองการกุล่มที่สองบ่งชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าเป็นผู้ใกล้ชิดกับเรามากกว่าที่คนอื่นจะใกล้ชิด เช่น โอกงการที่กล่าวว่า : “ขณะที่สูเจ้ากำลังจ้องมองดูอยู่ (แต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้)”[8]

3) โองการกลุ่มที่สาม แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร เป็นผู้ใกล้ชิดกับมนุษย์ยิ่งกว่าเส้นหลอดเลือดแดง (คอ) ของเขาเสีย เช่น โองการที่กล่าวว่า : “แน่นอน เราได้บังเกิดมนุษย์มา และเรารู้ดียิ่งที่จิตใจของเขากระซิบกระซาบแก่เขา และเรานั้นใกล้ชิดเขายิ่งกว่าเส้นเลือดชีวิตของเขาเสียอีก”[9]

4) โองการกลุ่มที่สี่, บ่งชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงใกล้ชิดกับมนุษย์ ยิ่งกว่าตัวของเขาเองเสียอีก เช่น โองการที่กล่าวว่า: บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงตอบรับอัลลอฮฺ และเราะซูลเถิด เมื่อเขาได้เชิญชวนพวกเจ้าสู่สิ่งที่ทำให้พวกเจ้ามีชีวิตชีวาขึ้น และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงกั้นระหว่างบุคคลกับหัวใจของเขา[10]

การวิพากษ์เกี่ยวกับโองการ 3 กลุ่มแรกนั้นไม่ยากจนเกินไป แต่โองการกลุ่มที่สี่นั้นไม่ง่ายเลยที่เดียว เนื่องจากเป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าทรงใกล้ชิดกับมนุษย์ยิ่งกว่าตัวของพวกเขาเสียอีก ?

ดังนั้น จะเห็นว่ามีนักอรรถาธิบายกุรอานบางท่าน ได้ตีความไปตามปรากฏภายนอกของโองการ เช่น กล่าวว่า จุดประสงค์ของประโยคที่ว่า “แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงกั้นระหว่างบุคคลกับหัวใจของเขา” ว่าบางครั้งมนุษย์ตัดสินใจกระทำงานบางอย่าง หลังจากนั้นพระเจ้าทรงทำให้เขาสำนึก ซึ่งพระองค์ไม่ทรงปล่อยให้เขากระทำไปตามการตัดสินใจนั้น[11]

นี้เป็นเพียงความหมายปานกลางเท่านั้นเอง แต่เป็นถ้าเรามีเหตุผลทางด้านสติปัญญาที่ตรงกับโองการ และมีเหตุผลอื่นที่สนับสนุนเอาไว้ ซึ่งเราจะไม่กล่าวอ้างดังที่ภายนอกของโองการได้กล่าวว่า: อัลลอฮฺทรงปล่อยช่องว่างระหว่างมนุษย์กับพระองค์ เนื่องจากการมีอยู่ของมนุษย์จำเป็นต้องพึ่งพาและภายในนั้นว่างเปล่า ทว่ามนุษย์ก็เหมือนกับสรรพสิ่งอื่นที่มีความเป็นไปได้และมีความว่างเปล่า ดังที่มัรฮูมกุลัยนี ได้กล่าวรายงานไว้ว่า : จากท่านอลีญะอฺฟัร (อ.) กล่าวว่า:

ان الله عزوّجل خلق ابن ادم اجوف

“แท้จริงอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ ทรงสร้างมนุษย์จากความว่างเปล่า[12]"

ขณะที่มนุษย์นั้นมีแต่ความว่างเปล่า ฉะนั้น ระหว่างมนุษย์กับตัวตนของมนุษย์มีการล้อมรอบการดำรงอยู่ มีช่องว่าง ดังนั้น  พระเจ้าจึงมีความใกล้ชิดยิ่งกว่าผู้ใดทั้งสิ้น และถ้าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ ก็หมายถึงคุณลักษณะทั้งหมดของพระองค์อยู่ใกล้ เองคุณลักษณะของพระองค์ก็คืออาตมันของพระองค์ และถ้าคุณลักษณะแห่งอาตมันปรากฏ[13] คุณลักษณะแห่งการกระทำก็จะตามคุณลักษณะแห่งอาตมันปรากฏด้วยและยังก่อให้เกิดผล[14]

แนวทางความใกล้ชิดกับพระเจ้าในมุมมองของปรัชญา :

คำถามพื้นฐานที่ถามเกี่ยวกับความใกล้ชิดคือ เราจะใกล้ชิดกับพระเจ้าและสถานภาพของพระองค์ได้อย่างไร พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยรัศมีและทรงสร้างท้องฟ้า แผ่นดิน และสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลายด้วยรัศมีของพระองค์, ซึ่งรัศมีนั่นเองที่ก่อให้เกิดการรังสรรค์ ดังนั้น เราจะเข้าใกล้พระองค์จากด้านใด และเราจะวิงวอนขอต่อพระองค์จากทิศทางใด

เป็นที่ชัดเจนว่า พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรไม่ทิศทาง ไม่มีด้าน ทว่าพระองค์อยู่ในทุกที่ ไม่ว่าสูเจ้าจะไปหรือมาจากด้านไหนทิศทางใดก็สามารถใกล้ชิดกับพระองค์ได้ทั้งสิ้น เนื่องจากพัฒนาจิตใจอยู่ระหว่างการเติมเต็มความสมบูรณ์ให้แก่ตัวตน เป็นการเดินทางจากสิ่งถูกสร้างไปสู่พระผู้สร้าง ซึ่งอยู่ในชั้นของเหตุผลและสติปัญญา ได้เข้าถึงตำแหน่งของวิทยปัญญา[15]โดยการกระทำ และวิทยปัญญาในเชิงของคุณาประโยชน์ เขาได้ต่อเชื่อมกับสติปัญญาสมบูรณ์ และรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งสิ้นสุดระยะทาง ณ เจ้าของแห่งความรู้ เขาได้ประดับตนด้วยพระนามและคุณลักษณะอันดีงามของพระเจ้า หมายถึง ได้เข้าถึงความจำเริญแล้ว และสถานภาพการมีอยู่ของเขาจะมีความแข็งแกร่ง และเป็นหนึ่งในการสำแดงอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ได้เป็นเจ้าของวิลายะฮฺตักวีนี และจากสภาพนี่เอง จิตวิญญาณของตนก็จะได้เข้าใกล้ชิด[16]

ความใกล้ชิดกับพระเจ้าในมุมมองของโองการและริวายะฮฺ:

เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงครอบคลุมและห้อมล้อมทุกสรรพสิ่งเอาไว้ [17] ดังนั้น จึงไม่เหมาะสมที่พระองค์จะห่างไกลจากสรรพสิ่ง ด้วยเหตุนี้ ความใกล้ชิดของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ไม่ว่าจะประสงค์หรือไม่ก็ตามพระองค์ทรงใกล้ชิดเขา

ด้วยเหตุนี้ หากมนุษย์ต้องการใกล้ชิดกับพระเจ้า พร้อมกับต้องการให้สิ่งเหล่านี้บังเกิดขึ้นเขาจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อฟังปฏิบัติตาม และการกระทำความดีงามความใกล้ชิดกับพระเจ้าจึงจะเกิดขึ้น ดังที่ทานอิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า "ความใกล้ชิดกับพระเจ้าจะไม่บังเกิดขึ้นเว้นเสียแต่ว่าต้องมีการเชื่อฟังปฏิบัติตาม" และในกรณีนี้หมาย วิลายะฮฺก็จะเริ่มต้นขึ้นหมายถึง ด้วยการช่วยเหลือ และด้วยความรัก การปฏิบัติภารกิจที่นำไปสู่ความใกล้ชิด เช่น นมาซ ดังที่รายงานกล่าวว่า “นมาซคือความใกล้ชิดสำหรับผู้ยำเกรงทุกคน”[18]  ส่วนซะกาตหรือทานบังคับดังที่กล่าวว่า

انّ الزکاة جُعلتْ مع الصلاة قُرباناّ

“แท้จริงซะกาตได้จัดไว้เคียงข้างนมาซซึ่งทั้งสองคือความใกล้ชิด”[19] สิ่งเหล่านี้คือแนวทางที่สร้างใกล้ชิดกับพระเจ้า และเมื่อความใกล้ชิดได้บังเกิดขึ้นเมื่อนั้นมนุษย์คือมิตรของพระเจ้า และพระเจ้าคือมิตรของมนุษย์ อัลกุรอานบางโองการ เช่น

ان کنتم تحبون اللَّه فاتّبعونى یحببکم اللَّه

“หากสูเจ้ารักอัลลอฮฺ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮฺก็จะทรงรักสูเจ้า”[20] หรือความรักลักษณะนี้แต่เป็นความรักทั้งสองด้าน[21]

วิธีการปฏิบัติในหนทางความใกล้ชิด :

การกระทำใด ๆ ที่ตัวของมันมีคุณสมบัติในการสร้างความใกล้ชิดกับพระเจ้า และผู้ปฏิบัติได้กระทำสิ่งนั้นเพื่อพระเจ้า หมายถึงได้ทั้งผู้กระทำและงานที่ได้กระทำล้วนเป็นดีทั้งคู เหล่านี้คือการสร้างความใกล้ชิดกับพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น และถ้าบ่าวมีความใกล้ชิดกับพระเจ้าแล้ว เขาก็จะได้รับประโยชน์จากความใกล้ชิดนั้น ฉะนั้น การงานที่มีคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน กล่าวคือ : การงานบางส่วนเหล่านั้นเป็นข้อบังคับเหนือตัว และบางส่วนเป็นการงานทีสมัครใจ ดังเช่น การก้าวไปสู่สวรรค์นั้นมีทั้งการกระทำที่เป็นข้อบังคับเหนือตัวและสมัครใจ เช่นเดียวกันการไปถึงยังตำแหน่งของความเป็นมนุษย์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็มีทั้งการงานที่เป็นข้อบังคับเหนือตัวและด้วยความสมัครใจ  แต่สิ่งที่เป็นความสำคัญมากที่จะได้รับการพิจารณา ซึงอยู่ในฐานะที่เป็นข้อบังคับเหนือตัวคือ ความบริสุทธิ์ใจและการรู้จักการกระทำนั้น และถ้าเขารู้จักมากเท่าใดความบริสุทธิ์ใจในการกระทำของเขาก็จะมีมากยิ่งขึ้น อัลกุรอานถือว่า การแสดงความเคารพภักดีคือ สื่อสำคัญที่จะช่วยให้เรารู้จักและมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น ดังกล่าวว่า

و اعبد ربّک حتى یأتیک الیقین

“จงเคารพภักดีพระผู้อภิบาลของเจ้า จนกว่าความเชื่อมั่นจะมาหาเจ้า”[22] แน่นอน, ที่มาของความสงบหรือเชื่อมั่นประเภทนี้มิได้เป็นเหตุนำไปสู่ความเชื่อมั่นในพระเจ้า เนื่องจากความเชื่อมั่นประเภทนี้คือแหล่งที่มาของการแสดงความเคารพภักดี มิใช่เป็นผลของการแสดงความเคารพภักดี หรือมาจากตำแหน่งมวลมิตรของพระเจ้า ทว่าความเชื่อมั่นเช่นนี้คือ การเชื่อมั่นในพระเจ้าพระผู้ทรงบริสุทธิ์ และคุณลักษณะทั้งหมดของพระองค์[23]  ส่วนโปรแกมที่เหลืออยู่เช่น จริยธรรมในหนทางใกล้ชิดกับพระเจ้า อยู่ในฐานะของ นาฟิละฮฺ ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า : เรื่องที่ยิ่งใหญ่ซึ่งพระเจ้าทรงดำรัสแก่ดาวูด (อ.) ว่า โอ้ ดาวูดเอ๋ย ดังที่บุคคลที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนใกล้ชิดกับพระเจ้ามากที่สุด ขณะที่คนที่หยิ่งจองหองคือ คนที่ห่างไกลจากพระเจ้ามากที่สุด[24] เป็นที่ชัดเจนว่าความอ่อนน้อมถ่อมตน การมีมารยาทอันดีงาม หรือการทำความดีคือแนวทางที่นำไปสู่ความใกล้ชิดกับพระเจ้า ซึ่งทั้งหมดอยู่ในกฎของนาฟิละฮฺทั้งสิ้น ซึ่งรากที่มาและพื้นฐานคือ ความรักและความรู้จักที่มีต่อพระเจ้า และการแสดงความเคารพที่มีต่อพระองค์ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า :

"یا ابا ذر اعبُد اللَّه کانک تراه فان کنت لا تراه فانّه یراک"

โอ้ อบาซัรเอ๋ย จงแสดงความเคารพภักดีอัลลอฮฺ ประหนึ่งเจ้าได้เห็นพระองค์ ดังนั้น แม้เจ้าไม่ได้เห็นพระองค์ แต่พระองค์ทรงมองเห็นเจ้า[25] และแน่นอนว่าการแสดงความเคารพภักดีเช่นนี้ อยู่บนพื้นฐานของการรู้จัก ซึ่งถือเป็นอิบาดะฮฺที่ประเสริฐที่สุด



[1] นะฮฺญุลบะลาเฆาะ, คำเทศนา 186

[2] มาฮียัต หมายความถึงขอบเขตของการมีอยู่ ซึ่งเฉพาะเจาะจงสำหรับสรรพสิ่งที่มีขอบเขตจำกัด ขณะที่พระเจ้าทรงสัมบูรณ์นิรันดรและไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับพระองค์ ด้วยเหตุ พระองค์จึงไม่มีองค์รูป

[3] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, บทเทศนา 1

[4] อัลกุรอานบทบะเกาะฮฺ 168

[5] หมายถึงสรรพสิ่งมีอยู่ในโลกของความเป็นไปได้ในการมีอยู่นั้น ต้องมีความสัมพันธ์หมายถึง ไม่มีสิ่งใดมีความมีอิสระในการมีอยู่ของตน ซึ่งแก่นแท้ทั้งหมดของสิ่งเหล่านั้นคือการมีอยู่ของพวกเขา การมีอยู่ของพวกเขาเหมือกับเงา และไม่มีเงาใดที่มีตัวตน ซึ่งการมีอยู่ของเขาอยู่ขึ้นอยู่กับ ดัชนีทั้งหมดและ สิ่งมีชีวิตเรานอกเหนือจากผู้ทรงอำนาจในคำตัดสินที่เหมาะสมสำหรับเงามีทั้ง หมด แน่ นอนเช่นนี้ความต้องการร่มเงาเพื่อสร้างดัชนีและวัสดุอุปกรณ์ต่อพ่วงเรื่อง ดังกล่าวไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นตัวชี้วัด

[6] ฮะซันซอเดะฮฺ ออมูลี ฮะซัน, นุซุซุลฮิกัมบัรฟุซูซุลฮิกัม, หน้า 496

[7] อัลกุรอานบทบะเกาะฮฺ 168

[8]  อัลกุรอานบทวากิอะฮฺ 85

[9]  อัลกุรอานบทก็อฟ 16

[10] อัลกุรอานบทอัลอันฟาล 24

[11]   อบูอะลี ฟัฎลิบนิ ฮะซัน, ตัฟซีรมัจญ์มะอุลบะยาน เล่ม. 4,หน้า 820

[12] กุลัยนี, มุฮัมมัด บิน ยะอ์กูบ, กาฟีย์, เล่ม 6, หน้า 282

[13] ประเภทคุณลักษณะของพระเจ้า : 1) คุณลักษณะซาตียะฮฺ : การรู้จักคุณลักษณะนี้เพียงแค่พิจารณาถึงซาตก็เพียงพอแล้ว เช่น คุณลักษณะความสามารถ ความรู้ และ ชีวิต ... " 2) ลักษณะกริยา : ลักษณะเหล่านี้หากจะพิจารณาเฉพาะซาตเพียงอย่างเดียวถือว่าไม่เพียงพอ ทว่าต้องพิจารณาซาตในฐานของกิริยาหรือก่อให้เกิดกิริยา เช่น การสร้างสรรค์ การดำรงชีพ และการประทานปัจจัย และการ ...".

[14] ญะวาด ออมูลี อับดุลลอฮฺ, ฮิกมะฮฺ อิบาดี, หมวยดที่ 7, หน้า. 213

[15] บรรดานักปราชญ์ได้แบ่งสติปัญญาไว้ 4 ระดังด้วยกัน กล่าวคือ : อันดับแรกสติปัญญาถูกสัมพันธ์ไปยังความเข้าใจทั้งหมดโดยพลัง ซึ่งเรียกว่าสติปัญญาส่วนนี้ว่าสติปัญญาแห่งการจินตนาการ อันดับที่สอง : สติปัญญาด้วยเหตุผลที่เคยชิน ในส่วนนี้สติปัญญาจะคิดถึงเหตุผล จินตนาการรูปภาพ และยืนยันถึงความเป็นจริง ส่วนที่สาม : สติปัญญาด้วยการกระทำ ในระดับนี้สติปัญญาจะใคร่ครวญถึงเหตุผลที่แท้จริงคือ การจัดอันดับความคิดของเหตุผลเพราะสติปัญญาส่วนสามารถเข้าใจถึงสัจพจน์ ส่วนทีสี่ : เรียกว่าสติปัญญามุสตะฟาด หมายถึงทั้งหมดซึ่งปรากฏชัดในความเข้าใจและทฤษฎีนั้นตรงกับโลกเบื้องบน (ราชอาณาจักร) และโลกด้านล่างเมื่อได้รับแล้วจึงใคร่ครวญและทำความเข้าใจ ในลักษณะที่ว่าทั้งหมดได้ปรากฏอยู่ ณ ตัวเอง และได้พิจารณาสิ่งนั้นด้วยกระกระทำ

[16] ฮะซันซอเดะฮฺ ออมูลี ฮะซัน, นุซุซุลฮิกัมบัรฟุซูซุลฮิกัม, หน้า 502

[17]  อัลกุรอานฟุซิลัต 54

[18] เชค ซะดูก, มันลายะฮฺเฎาะเราะฮุล ฟะกีฮฺ, เล่ม 1, หน้า 637

[19] นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ, เฟฎุลอิสลาม คำเทศนา 190

[20] อัลกุรอาน บทอาลิอิมรอน 31

[21] ญะวาด ออมูลี, อับดุลลา, วิลายะฮฺในกุรอานน, หน้า 57, สำนักพิมพ์อัสรอ

[22] อัลกุรอาน บทอัลฮิจญร์ 99

[23] ญะวาด ออมูลี, อับดุลลา, วิลายะฮฺในกุรอานน, หน้า 112

[24] เรย์,ชะฮฺรีย์ มุฮัมมัด (ซัยยิดฮุซัยนี ซัยยิดฮะมีด) มุนตะค็อบมีซานอัลฮิกมะฮฺ , รายงานที่ 5212

[25] มัจญ์ลิซซีย์ บิฮารุลอันวาร, เล่ม 77, หน้า 74

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เหตุใดอัลลอฮ์จึงกำชับให้ขอบคุณต่อเนียะอฺมัตที่ทรงประทานให้?
    17706 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/10
    “ชุโกร”ในทางภาษาอรับหมายถึง การมโนภาพเนียะอฺมัต(ความโปรดปรานจากพระองค์)แล้วเผยความกตัญญูรู้คุณผ่านคำพูดหรือการกระทำ[i] ส่วนที่ว่าทำไมต้องชุโกรขอบคุณพระองค์ในฐานะที่ประทานเนียะอฺมัตต่างๆนั้น ขอให้ลองพิจารณาประเด็นต่อไปนี้:1.
  • เราจะมั่นใจได้อย่างไร สำหรับผู้รู้ที่ตักเตือนแนะนำและกล่าวปราศรัย มีความเหมาะสมสำหรับภารกิจนั้น?
    6959 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/08/22
    ตามคำสอนของอิสลามที่มีต่อสาธารณชนคือ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความเข้าในคำสอนศาสนา ตนต้องค้นคว้าและวิจัยด้วยตัวเองเกี่ยวกับบทบัญญัติของศาสนา หรือให้เชื่อฟังปฏิบัติตามอุละมาอฺ และเนื่องจากว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ทั้งหมด กล่าวตนเข้าศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับคำสอนของศาสนา ด้วยเหตุนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องเข้าหาอุละมาอฺในศาสนา อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้กำหนดมาตรฐานสำหรับการรู้จักผู้รู้ที่คู่ควรและเหมาะสมเอาไว้ว่า การได้ที่เราจะสามารถพบอุละมาอฺที่ดี บริสุทธิ์ และมีความเหมาะสมคู่ควร สำหรับชีอะฮฺแล้วง่ายนิดเดียว เช่น กล่าวว่า “ผู้ที่เป็นอุละมาอฺคือ ผู้ที่ปกป้องตัวเอง พิทักษ์ศาสนา เป็นปรปักษ์กับอำนาจฝ่ายต่ำของตน และเชื่อฟังปฏิบัติตามบัญชาของอัลลอฮฺ ฉะนั้น เป็นวาญิบสำหรับบุคคลทั่วไปที่จะต้องปฏิบัติตามเขา นอกจาคำกล่าวของอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) แล้วยังมีวิทยปัญญาอันล้ำลึกของผู้ศรัทธา ไม่ว่าเขาจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตามเขาจะใช้ประโยชน์จากมัน แม้ว่าจะอยู่ในหมู่ผู้ปฏิเสธศรัทธาก็ตาม ...
  • ฮะดีษที่ว่า “วันที่มุสลิมจะจำแนกเป็น 73 จำพวกจะมาถึง” เชื่อถือได้หรือไม่?
    12639 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/19
    ฮะดีษชุด“การแตกแยกของอุมมะฮ์”มีบันทึกในตำราฝ่ายชีอะฮ์และซุนหนี่ตามสายรายงานที่หลากหลายเนื้อหาของฮะดีษเหล่านี้ล้วนระบุถึงการที่มุสลิมจำแนกเป็นกลุ่มก้อนภายหลังท่านนบี(ซ.ล.) ซึ่งถือเป็นเอกฉันท์ในแง่ความหมายส่วนในแง่สายรายงานก็มีฮะดีษที่เศาะฮี้ห์และสายรายงานเลิศอย่างน้อยหนึ่งบท ...
  • ในอายะฮ์ "وَمَنْ عَادَ فَینتَقِمُ اللّهُ مِنْهُ وَاللّهُ عَزِیزٌ ذُو انْتِقَامٍ"، สาเหตุของการชำระโทษคืออะไร
    6708 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/05
    อายะฮ์ที่ได้ยกมาในคำถามข้างต้นนั้นเป็นอายะฮ์ที่ถัดจากอายะฮ์ก่อนๆในซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ซึ่งมีเนื้อหาว่าการล่าสัตว์ขณะที่กำลังครองอิฮ์รอมถือเป็นสิ่งต้องห้ามในที่นี่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้กล่าวว่าผู้ใดที่ได้ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) กล่าวคือไม่ยี่หระสนใจเกี่ยวกับข้อห้ามในการล่าสัตว์ในขณะที่ครองอิฮ์รอมอยู่โดยได้ล่าสัตว์ขณะที่กำลังทำฮัจญ์  อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ก็จะชำระโทษพวกเขาดังนั้นสาเหตุของการชำระโทษในที่นี้ก็คือการดื้อดึงที่จะทำบาปนั้นเอง[1]ใครก็ตามที่ได้กระทำสิ่งต้องห้าม (ล่าสัตว์ขณะครองอิฮ์รอม) พระองค์ย่อมจะสำเร็จโทษเขาอายะฮ์ดังกล่าวต้องการแสดงให้เห็นว่าบาปนี้เป็นบาปที่ใหญ่หลวงถึงขั้นที่ว่าผู้ที่ดื้อแพ่งจะกระทำซ้ำไม่อาจจะชดเชยบาปดังกล่าวได้ในอันดับแรกสามารถชดเชยบาปได้โดยการจ่ายกัฟฟาเราะฮ์และเตาบะฮ์แต่ถ้าหากได้กระทำบาปซ้ำอีกอัลลอฮ์จะชำระโทษผู้ที่ฝ่าฝืนเนื่องจากพระองค์ทรงเป็นผู้มีชัยและเป็นจ้าวแห่งการชำระโทษและสำนวนอายะฮ์นี้แสดงให้เห็นว่าบาปดังกล่าวเป็นบาปที่ใหญ่หลวงสำหรับปวงบ่าวนั่นเอง[2]คำถามนี้ไม่มีคำตอบเชิงรายละเอียด[1]มัฆนียะฮ์, มุฮัมหมัดญะวาด
  • ฮุศ็อยน์ บิน นุมัยร์ (ตะมีม) เป็นใครมาจากใหน?
    6066 تاريخ بزرگان 2555/03/08
    حصين بن نمير ซึ่งออกเสียงว่า “ฮุศ็อยน์ บิน นุมัยร์” ก็คือคนเดียวกันกับ “ฮุศ็อยน์ บิน ตะมีม” หนึ่งในแกนนำฝ่ายบนีอุมัยยะฮ์ที่มาจากเผ่า “กินดะฮ์” ซึ่งจงเกลียดจงชังลูกหลานของอิมามอลีอย่างยิ่ง และมีส่วนร่วมในการสังหารฮะบี้บ บิน มะซอฮิร หนึ่งในสาวกของอิมามฮุเซน บิน อลีในวันอาชูรอ ปีฮ.ศ. 61 โดยได้นำศีรษะของฮะบี้บผูกไว้ที่คอของม้าเพื่อนำไปยังราชวังของ “อิบนิ ซิยาด” ...
  • จะต้องงดเว้นบาปนานเท่าใดจึงจะหลาบจำไม่ทำบาปอีก?
    5675 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/08/09
    เราไม่พบโองการหรือฮะดีษใดเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงมีเพียงฮะดีษที่กล่าวว่า “ผู้ใดที่กระทำทุกอย่างด้วยความบริสุทธิใจต่ออัลลอฮ์ถึงสี่สิบวันอัลลอฮ์จะดลบันดาลให้วิทยปัญญาใหลรินจากหัวใจและปลายลิ้นของเขา”อย่างไรก็ดีควรคำนึงถึงสาระสำคัญต่อไปนี้1. ตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ภัยคุกคามจากชัยฏอนก็ยังมีอยู่เสมอจึงไม่ควรจะคิดว่ามีภูมิคุ้มกันที่จะทำให้รอดพ้นการทำบาปได้ตลอดไป2. อย่าปล่อยให้ตนเองสิ้นหวังจากความเมตตาของอัลลอฮ์คนเราแม้จะทำบาปมากเท่าใดแต่ประตูแห่งการเตาบะฮ์ยังเปิดกว้างเสมอจึงต้องมีหวังในพระเมตตาของพระองค์ตลอดเวลา ...
  • ทำอย่างไรจึงจะสามารถทำนายฝันได้?
    7928 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/01/07
    แม้การฝันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับทุกคนในชีวิตประจำวัน  แต่จนถึงบัดนี้นักวิชาการก็ยังไขปริศนาเกี่ยวกับความฝันไม่ได้อัลกุรอานกล่าวถึงท่านนบียูซุฟที่หยั่งรู้เหตุการณ์จริงจากความฝัน[1]และยังได้รับพรจากอัลลอฮ์ให้สามารถทำนายฝันได้อย่างแม่นยำ[2]ท่านเคยทำนายฝันของเพื่อนนักโทษในเรือนจำและมีโอกาสได้ทำนายฝันกษัตริย์แห่งอิยิปต์อีกด้วยจึงกล่าวได้ว่าการทำนายฝัน (หรือที่กุรอานเรียกว่าการ“ตีความ”[3]ฝัน) เป็นศาสตร์ที่มีอยู่จริงและพระองค์ทรงประทานแก่ศาสนทูตของพระองค์
  • ในพิธีขว้างหินที่ญะมารอตหากต้องการเป็นตัวแทนให้ผู้ที่ไม่สามารถขว้างหินเองได้ อันดับแรกจะต้องขว้างหินของเราเองก่อนแล้วค่อยขว้างหินของผู้ที่เราเป็นตัวแทนให้เขาใช่หรือไม่?
    7342 สิทธิและกฎหมาย 2555/02/05
    ดังทัศนะของมัรญะอ์ตักลีดทุกท่านรวมไปถึงท่านอิมามโคมัยนี (ร.) อนุญาตให้ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์สามารถขว้างหินของตัวแทนของตนก่อนก่อนที่จะขว้างหินของตนเอง[i][i]มะฮ์มูดี, มูฮัมหมัดริฏอ, พิธีฮัจญ์ (ภาคผนวก),หน้าที่
  • ข้อแตกต่างระหว่างมะอ์นะวียัตในอิสลามและคริสตศาสนา
    6611 เทววิทยาใหม่ 2554/10/24
    คุณค่าของมะอ์นะวียัตของแต่ละศาสนาขึ้นอยู่กับคุณค่าของศาสนานั้นๆคำสอนของคริสตศาสนาบางประการขัดต่อสติปัญญาโดยที่ชาวคริสเตียนเองก็ยอมรับเช่นนั้นมะอ์นะวียัตที่ได้จากคำสอนเช่นนี้ก็ย่อมมีข้อผิดพลาดเป็นธรรมดาและนี่คือข้อแตกต่างหลักระหว่างมะอ์นะวียัตของอิสลามและคริสตศาสนากล่าวคือโดยพื้นฐานแล้วมะอ์นะวียัตของคริสต์ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้เมื่อพิจารณาถึงแหล่งเนื้อหาที่มีบางจุดขัดต่อสติปัญญาทำให้ไม่สามารถจะนำพาสู่ความผาสุกได้อย่างไรก็ดีสภาพมะอ์นะวียัตของตะวันตกในปัจจุบันย่ำแย่ไปกว่ามะอ์นะวียัตดั้งเดิมของคริสตศาสนาเสียอีกในขณะที่มะอ์นะวียัตของอิสลามนั้นได้รับอิทธิพลจากคำสอนจากวิวรณ์
  • การมองอย่างไรจึงจะถือว่าฮะรอมและเป็นบาป?
    8665 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น ปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59560 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56976 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41782 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38561 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38511 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33567 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27613 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27389 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27246 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25309 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...