การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8750
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/10/04
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1566 รหัสสำเนา 26985
คำถามอย่างย่อ
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์กฎการขวางด้วยหิน (ขวางให้ตาย) คืออะไร? การถือปฏิบัติกฎระเบียบดังกล่าว ตามหลักการอิสลามในยุคสมัยนี้ ไม่สร้างความเสื่อมเสียแก่อิสลามหรือ?
คำถาม
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์การขวางด้วยหิน (ขวางให้ตาย) คืออะไร? ไม่คิดดอกหรือว่าโลกสมัยนี้จะดูถูกเหยียดหยามกฎดังกล่าว ทำให้ทัศนะอื่นที่มีต่ออิสลามจะเป็นไปในแง่ลบทั้งหมด?
คำตอบโดยสังเขป

การลงโทษ โดยการขว้างด้วยก้อนหิน หรือเรียกว่า “รัจม์” เป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชาติ หมู่ชน และศาสนาต่างๆ ก่อนหน้าอิสลาม

ซึ่งในอิสลามถือว่า การลงโทษดังกล่าวเป็นข้อกำหนดประเภทหนึ่งตามหลักชัรอียฺ แน่นอนและตายตัว ซึ่งจะใช้ลงโทษสำหรับการกระทำผิดที่หนักมาก ซึ่งมีรายงานจำนวนมากจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวไว้

เป้าหมายของอิสลามจากการลงโทษดังกล่าวคือ การปรับปรุงแก้ไขสังคม, อันเกิดจากความผิดปรกติด้านการก่ออาชญากรรม, เป็นการชำระผู้กระทำผิดอีกทั้งเป็นการลบล้างความผิดบาป ที่เกิดจากผลของความผิดนั้น, ดำเนินความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม,ป้องกันความหันเห ความหลงผิดต่างๆ อันเกิดจากการทำลายความบริสุทธิ์ของสังคม กลับคืนสู่สังคมอีกครั้ง

ตามทัศนะของอิสลามการลงโทษ การทำชู้ (หญิงที่มีสามี หรือชายที่มีภรรยา) จะถูกลงโทษด้วยเงื่อนไขอันเฉพาะด้วยการขว้างด้วยก้อนหินจนกระทั่งเสียชีวิต

ถ้าหากการดำเนินกฎเกณฑ์ดังกล่าว หรือกฎเกณฑ์ข้ออื่นๆ นำไปสู่การดูถูกเหยียดหยามอิสลามแล้วละก็ วะลียุลฟะกีฮฺ หรือฮากิมชัรอียฺ สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการลงโทษได้ตามความเหมาะสม และต้องสอดคล้องกับกฎหมายอิสลาม

คำตอบเชิงรายละเอียด

สำหรับการศึกษาข้อมูลภูมิหลังประวัติศาสตร์ การลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหิน หรือ รัจมฺ จำเป็นต้องศึกษาจากหนังสือประวัติศาสตร์ และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา ที่มีมาก่อนศาสนาอิสลาม ซึ่งปัจจุบันคัมภีร์โบราณของศาสนาในอดีตที่มีอยู่ในมือของเรา กล่าวว่า การลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหินนั้น จะใช้ลงโทษบุคคลที่ประพฤติผิดรุนแรง ซึ่งคัมภีร์เตารอตได้กล่าวถึง การลงโทษดังกล่าวไว้หลายต่อหลายครั้ง เป็นการลงโทษหญิงสาวที่ผิดประเวณีก่อนสมรส กล่าวว่า :  » เวลานั้นได้นำตัวหญิงสาวไปที่บ้านของบิดาของนาง แล้วประชาชนได้ร่วมกันใช้หินขว้างเธอจนเสียชีวิต เนื่องจากได้สร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่วงศ์วานอิสราเอล เธอได้ผิดประเวณีที่บ้านบิดาของเธอ การทำเช่นนี้เพื่อให้ความชั่วร้ายห่างไกลไปจากหมู่ชนของตน«[1]

ครั้นเมื่อท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้อพยพไปยังมะดีนะฮฺ ได้มียะฮูดียฺกลุ่มหนึ่งเข้ามาพบท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เพื่อถามเรื่องกฎการผิดประเวณี (ซินา) ท่านศาสดาได้ตอบโดยอาศัยโองการที่ 41 บทมาอิดะฮฺ และโองการที่เกี่ยวข้อง ที่ถูกประทานลงมาหลังจากนั้น

เรื่องราวดังกล่าวมีอยู่ว่า มีหญิงที่มีชื่อเสียงชาวยะฮูดียฺคนหนึ่ง จากหมู่บ้านคัยบัร ได้ผิดประเวณีกับชายที่มีชื่อเสียงจากหมู่พวกเขา ทั้งๆ ที่ทั้งสองมีภรรยาและสามีอยู่แล้ว (เขาทำชู้กัน) แต่นักปราชญ์ของยะฮูดียฺ ไม่กล้าตัดสินลงโทษเขาทั้งสอง เนื่องจากชื่อเสียงที่เขามี และสถานภาพทางสังคมของพวกเขา อีกอย่างพวกเขาไม่ต้องลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหิน พวกเขาจึงได้มาหาท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เพื่อสรรหาบทลงโทษที่เบากว่านั้น เพื่อจะได้นำไปลงโทษทั้งสอง แต่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็มิได้บอกบทลงโทษอื่นแก่พวกเขา ท่านบอกบทลงโทษเดียวกัน และเน้นย้ำว่าบทลงโทษดังกล่าวมีกล่าวอยู่ในคัมภีร์เตารอตด้วย แล้วทำไมพวกท่านจึงไม่ถือปฏิบัติไปตามคัมภีร์? พวกเขาพยายามปฏิเสธบทบัญญัติดังกล่าวในคัมภีร์เตารอต หลังจากนั้นท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้ให้ผู้รู้ชาวยะฮูดียฺคนหนึ่งนามว่า อิบนุฮูรียา เข้าพบ หลังจากได้สาบานตนแล้ว ท่านได้ถามเขาถึงกฎดังกล่าว เขายอมรับว่ากฎดังกล่าวมีอยู่ในคัมภีรฺเตารอตจริง ต่อมาท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้ลงโทษชายและหญิงคนนั้นหน้ามัสญิด โดยการขว้างด้วยก้อนหินจนเสียชีวิต[2]

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่ากฎการลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหิน มีมาก่อนอิสลาม ซึ่งปรากฏอยู่ในหมู่ประชาชาติ หมู่ชน และศาสนาต่างๆ อยู่แล้ว จะแตกต่างกันตรงวิธีปฏิบัติเท่านั้นเอง

กฎการขว้างด้วยก้อนหินในอิสลาม :

แม้ว่ากฎการขว้างด้วยก้อนหินจะถูกกำหนดสำหรับ หญิงที่มีชู้ แต่มิได้ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน เพียงแต่ว่าวิธีการลงโทษดังกล่าวนี้ได้รับการปฏิบัติโดยท่านศาสดา (ซ็อลฯ)

ท่านอิมามอะลี (อ.) เคยปฏิบัติการลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหิน และการเฆี่ยนตีผู้ผิดประเวณี ท่านกล่าวว่า : จงลงโทษเขาตามที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ของพระเจ้า (เฆี่ยน) และลงโทษเขาตามแบบฉบับของท่านศาสดาคือ ขว้างด้วยก้อนหิน[3] รายงานจากเคาะลิฟะฮฺที่สอง กล่าวว่า : ถ้าฉันไม่กลัวว่าประชาชนจะกล่าวว่า ฉันได้เพิ่มเติมโองการอัลกุรอานแล้วละก็ ฉันจะบรรจุโองการ รัจม์ เข้าในอัลกุรอาน ที่ว่า »บุรุษและสตรีที่ชราหากเขาได้ทำชู้กัน ก็จะต้องถูกขว้างด้วยก้อนหินแน่นอน« อย่างไรก็ตามโองการลักษณะนี้ได้รับการปฏิเสธจากบรรดาเหล่าสหายทั้งหมด ซึ่งไม่มีสหายคนใดกล่าวยืนยันสักคนเดียวว่า มีโองการเหล่านี้ในอัลกุรอาน[4]

กฎการลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหินสำหรับการคบชู้ เป็นที่เห็นพร้องต้องกันของผู้รู้และนักปราชญ์อิสลามทั้งหมด[5] และเนื่องจากเป็นบทลงโทษของอิสลาม จึงไม่อาจแก้ไขหรืออะลุ่มอล่วยใดๆ ได้[6]

อีกด้านหนึ่ง ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เป็นศาสดาแห่งเมตตาธรรม แต่ท่านไม่ยินดีเท่าไหร่ ที่จะลงโทษประชาชาติด้วยวิธีการดังกล่าว ซึ่งทุกครั้งที่มีการลงโทษดังกล่าว ท่านมักจะกล่าวว่า ถ้าเขาลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺ ยังดีเสียกว่าการสารภาพผิดเสียอีก แต่กระนั้นเมื่อใดก็ตาม เมื่อพิสูจน์แล้วว่า เค้าทำชู้กันจริง ท่านก็จะลงโทษพวกเขาไปตามนั้น

เหตุการณ์เกี่ยวกับบุคคลที่ถูกลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหิน ในสมัยท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามอะลี (อ.) และรายงานฮะดีซที่กล่าวเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว[7]แสดงให้เห็นว่าทัศนะอิสลามนั้นเห็นด้วยกับการลงโทษดังกล่าว แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและหลักการ ซึ่งค่อนข้างจะยุ่งยากมากอย่างน้อยต้องพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่า ทั้งสองนั้นทำชู้กันจริง กระนั้นโดยหลักการแล้วก็จะเห็นว่ามีการลงโทษทำนองนี้น้อยมากที่สุด นั่นเป็นเพราะการป้องกันมิให้เกิดเรื่องลามกอนาจารดังกล่าว จึงเป็นสาเหตุทำให้มีการลงโทษลักษณะนี้น้อย

ตามรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ซึ่งวางอยู่บนหลักนิติศาสตร์ฝ่ายชีอะฮฺ ได้มีการกล่าวถึงเงื่อนไขและหลักการพิสูจน์การคบชู้สู่ชายเอาไว้ ซึ่งจะขอกล่าวถึงสักสองสามประการดังนี้

1-มาตราที่ 74 การผิดประเวณีอันเป็นเหตุให้ถูกรัจมฺ หรือถูกเฆี่ยนตี จะต้องได้รับการยืนยันจากพยานที่เป็นชายที่มีความยุติธรรม 4 คน หรือพยานที่เป็นชายทีมีความยุติธรรม 3 คน และหญิงที่มีความยุติธรรม 2 คน[8]

2- มาตราที่ 76 คำยืนยันของผู้เป็นพยานจะต้องโปร่งใส ชัดเจน ปราศจากเงื่อนงำ สามารถอ้างอิงได้โดยการเห็นด้วยกับตาตัวเอง

3- มาตราที่ 78 ต้องอธิบายคุณลักษณะทั้งจากเวลา สถานที่ ซึ่งต้องไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างคำยืนยันของผู้เป็นพยาน (มิเช่นนั้นแล้ว ผู้เป็นพยานจะต้องโทษเสียเอง เนื่องจากยืนยันความเท็จ)

4-มาตราที่ 79 ผู้เป็นพยานต้องยืนยันโดยไม่ทิ้งช่วงหรือระยะเวลาของการยืนยัน หมายถึงพยานต้องยืนยันพร้อมกัน (มิเช่นนั้น ผู้เป็นพยานต้องได้รับโทษเอง)[9]

แม้แต่บุคคลผู้ซึ่งได้สารภาพแล้ว หลังจากนั้นได้ปฏิเสธ การต้องโทษด้วยการขว้างด้วยหินก็จะละเว้นจากเขาทันที ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า “ถ้าหากบุคคลหนึ่งได้สารภาพความผิดของตน ต่อมาได้ปฏิเสธ ดังนั้น การลงโทษด้วยการเฆี่ยนตียังต้องปฏิบัติเช่นเดิม ยกเว้นความผิดในเรื่อง การทำชู้ อันเป็นสาเหตุทำให้ถูกรัจมฺ (ขว้างด้วยก้อนหิน) หลังจากปฏิเสธ การลงโทษนี้ต้องถูกละเว้นจากเขา”[10]

ความยากในการพิสูจน์เรื่อง การทำชู้ อันเป็นความผิดที่นำไปสู่การลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหินนั้น เป็นเรื่องที่ยากและลำบากมาก ซึ่งบางคน[11]กล่าวว่า บางทีเรื่องนี้อาจไม่ได้รับการพิสูจน์เลยก็เป็นไปได้ เว้นแต่ว่าบุคคลนั้นผู้มีสติสัมปชัญญะ จะยอมรับสารภาพด้วยตัวเอง

ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ เป้าหมายของอิสลามในการกำหนดบทลงโทษดังกล่าว มิใช่เป็นไปเพื่อการล้างแค้น หรือสร้างความป่าเถื่อนให้เกิดในสังคม ทว่าเหมือนกับกฎหมายอิสลามข้ออื่น ซึ่งมีเป้าหมายสูงส่งในการกำหนดบทบัญญัติในแต่ละข้อ ซึ่งจะขอกล่าวถึงบางประเด็นเหล่านั้น กล่าวคือ

ก. เพื่อปรับปรุงสังคม : เนื่องจากถ้ามีกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ (ซึ่งต้องเป็นไปตามเงื่อนไข) โดยปราศจากการอะลุ่มอล่วยในสังคม และผู้ที่ทำชู้ได้รับการลงโทษจริงตามกฎหมาย แน่นอน บุคคลอื่นที่มีความคิดที่จะทำความผิดดังกล่าว จะไม่กล้าฝ่าฝืนเด็ดขาด และจะไม่มีวันกระทำเช่นนั้นเนื่องจากเมื่อทำผิดจริงแล้ว ต้องได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง

ข.ความผิดปรกติด้านการก่ออาชญากรรม : ทุกอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในสังคม ถือว่าเป็นความผิดปรกติ อันก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย และเป็นการทำลายระเบียบของสังคม ก่อให้เกิดความวุ่นวายและปัญหาต่อสังคม ดังนั้น ผลของการลงโทษทางสังคม เกิดจากความผิดปรกติ ของอาชญากรที่ก่ออาชญากรรมในสังคม

ค. เพื่อเป็นการชำระการกระทำความผิดของแต่ละคนและการให้อภัย : ความผิดหรือบาปถือว่าเป็นความชั่วร้ายอย่างหนึ่ง สร้างความเปรอะเปื้อน ถ้าหากกระทำผิดจริงก็เป็นเหตุให้ผู้กระทำแปดเปื้อนความผิด หรือเป็นผู้ผิด ดังนั้น ความผิดดังกล่าวจะหมดไปก็ต่อเมื่อได้รับการลงโทษตามความเหมาะสมกับความผิดนั้น รายงานฮะดีซ กล่าวว่า การลงโทษผู้กระทำผิดในโลกนี้ จะทำให้ผู้ทำความผิดสะอาดบริสุทธิ์ และความผิดจำนวนมากมาย (ถ้ามิใช่ความผิดด้านสิทธิมนุษยชน) จะถูกลบล้างให้สะอาดได้ด้วยการลุแก่โทษอย่างจริงใจ

ง. รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความบริสุทธิ์ของสังคม : การกระทำความผิดในสังคม ถ้าไม่มีการลงโทษผู้กระทำความผิด จะเป็นสาเหตุทำให้ผู้กระทำผิดได้ใจ เหิมเกริม และกล้าที่จะทำผิดต่อไป และในที่สุดแล้วความผิดนั้นก็จะลุกลามขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ และแน่นอนว่า ความผิดเช่นการล่วงละเมิดสิทธิคนอื่น การข่มขืนกระทำชำเลา การลักขโมย การสังหารชีวิตผู้อื่น การลวนลามหญิงสาวและอื่นๆ ความผิดเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุทำลายสังคมทั้งสิ้น สร้างความวุ่นวาย และทำลายระเบียบสังคม ดังนั้น ถ้ามีการลงโทษตามวาระ หรือตามความผิดนั้นๆ ตามที่อิสลามได้กำหนดไว้ เท่ากับเป็นการสนับสนุนให้ผู้คนในสังคมมีความยำเกรง รู้จักรักษาระเบียบ และเป็นผู้บริสุทธิ์ตลอดเวลา ทำให้พวกเขารักษาคุณค่าและความดีในความเป็นมนุษย์ต่อไปด้วย ดังที่ได้มีคำเตือนเสมอว่า ผู้ชาญฉลาดมักฉวยโอกาสด้วยการเฝ้ามองดูด้วยตาตัวเองว่า บั้นปลายสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ดังนั้น เขาจะไม่ฝ่าฝืนกระทำความผิด และในที่สุดแล้วก็จะเห็นว่า การกระทำความผิดและการก่ออาชญากรรมต่างๆ ในสังคมจะลดลง เมื่อความผิดลดลงย่อมส่งผลให้สังคมมีความหน้าอยู่ และมีความปลอดภัยสูงขึ้นตามลำดับ

จ. การดำเนินความยุติธรรม : การกระทำความผิดเท่ากับเป็นการล่วงละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น เป็นการอธรรมในสิทธิของพวกเขา ดังนั้น ด้วยการลงโทษให้หลาบจำเท่านั้นเอง จึงจะสามารถสร้างความสมดุลและคืนความยุติธรรมแก่สังคมได้ กล่าวคือ ถ้าหากมีการอธรรมเกิดขึ้นในสังคม จำเป็นต้องมีการลงโทษไปตามความเหมาะสมนั้น ฉะนั้น ทุกการลงโทษจึงได้รับการพิจารณาไปตามความเหมาะสมกับความผิด แม้แต่การ รัจมฺ ก็จะไม่ได้รับการละเว้นแต่อย่างใด

บางทีอาจกล่าวได้ว่า การลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหินนั้น เป็นการลงโทษที่รุนแรงค่อนข้างป่าเถื่อน ซึ่งตลอดยุคสมัยของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และท่านอิมามอะลี (อ.) ท่านได้ปฏิบัติกฎข้อนี้ด้วยตัวเองเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

แน่นอน ที่ใดก็ตามถ้าการปฏิบัติตามกฎหมายลงโทษแล้ว เป็นสาเหตุสร้างความเสื่อมเสียแต่อิสลาม อิมามมะอฺซูม หรือวิลายะตุลฟะกีฮฺ ซึ่งมีอำนาจในการปกปักรักษาผลประโยชน์ของอิสลาม สามารถยกเลิกบทลงโทษเหล่านั้นได้ชั่วคราว หรืออาจเปลี่ยนเป็นการลงโทษในลักษณะอื่นที่มีโทษเท่าเทียมกันแทน

ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) กล่าวว่า ฮากิม สามารถรื้อถอนบ้าน หรือมัสญิดที่สร้างกีดขวางทางสัญจรไปมา หรือกีดขวางถนนได้ โดยให้จ่ายคืนค่ารื้อถอนบ้านแก่เจ้าของบ้าน ฮากิมสามารถปิดมัสญิดในสถานการณ์ที่จำเป็นได้ ฮากิมสามารถระงับคำสั่งทั้งที่เป็นอิบาดะฮฺ หรือมิใช่อิบาดะฮฺ ซึ่งถ้าการปฏิบัติสิ่งนั้นขัดแย้ง หรือไม่เข้ากับกาลยุคของอิสลาม รัฐบาลอิสลามสมารถสามารถสั่งยุติการประกอบพิธีฮัจญฺ ซึ่งเป็นข้อบังคับสำคัญของพระเจ้าได้ชั่วคราว ถ้าหากพิธีฮัจญฺอยู่ในช่วงคับขัน และขัดแย้งกับความก้าวหน้าของประเทศมุสิลม[12] ในอีกที่หนึ่งท่านกล่าวว่า “เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างความกระจ่างชัดในเรื่องง่ายๆ แก่ประชาชน นั่นคือ ในอิสลามถือว่าความมั่นคงของรัฐเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และมีความสำคัญเหนือปัญหาอื่นใดทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดต้องปฏิบัติตาม”[13]

ด้วยเหตุนี้ สามารถกล่าวได้ว่า ถ้าหากไม่ได้อยู่ในการดำเนินบทบัญญัติของพระเจ้า ก็ไม่จำเป็นต้องสรรหาข้ออ้างที่ไม่มีพื้นฐานที่มาของคนบางกลุ่ม หรือบางพรรคทางการเมือง มาเป็นข้อท้วงติงแต่อย่างใด แต่ถ้าการปฏิบัติกฎหมายทั้งหมดเหล่านี้ หรือช่วงการดำเนินการถ้าขัดแย้งกับระบบอิสลาม หรือสร้างความเสื่อมเสียแก่อิสลาม วิลายะตุลฟะกีฮฺ มีอำนาจในการสั่งการ โดยให้เปลี่ยนบทลงโทษเป็นอย่างอื่นทดแทนได้

 


[1] คัมภีร์สัญญาฉบับเก่า พิมพ์ที่อังกฤษ หน้า 373, วารสาร การเดินทาง มูททนา บทที่ 2, โองการที่ 21, 22.

[2]  ตัฟซีรมีซาน ฉบับแปลฟาร์ซียฺ อัลลามะฮฺเฏาะบาเฏาะบาอียฺ, เล่ม 5, หน้า 543-544

[3] นักด์วะตัฟรีอาต อายะตุลลอฮฺ มุฮัมมัด วะฮีดียฺ หน้า 29

[4] อันวาร อัลฟะกอฮะฮฺ, นาซิรมะการิมชีรอซียฺ กิตาบฮุดูด หน้า 281.

[5] ญะวาเฮร กะลาม นะญะฟี, เล่ม 4, หน้า 318, อัลมะกอซิด อัชชัรอียะฮฺ ลิลอุกูบาตร ฟีลอิสลาม, ดร.ฮุซัยนียฺ อัลญันดี หน้า 637

[6] ตะอฺษีรซะมาน วะมะกาน บัรเกาะวานีนียฺ ญะซาอียฺ อิสลาม, ฮะมีด เดะฮฺกอน หน้า 129

[7] วะซาอิลุชชีอะฮฺ, โฮร อามิลียฺ, เล่ม 18, หน้า 347.

[8] ตะฮฺรีรุล อัลวะซีละฮฺ เล่ม 2, หน้า 461, ข้อที่ 9.

[9] ชัรฮฺ กฎหมายการลงโทษในอิสลาม, ซัยยิด ฟะตาฮฺ มุรตะเฎาะวีย, หน้า 32-43.

[10] วะซาอิลุชชีอะฮฺ, โฮร อามิลียฺ, เล่ม 18, หน้า 318, 319.

[11] ตะอฺษีร ซะมาน วะมะกาน บัร กะวานีน ญะซาอี อิสลาม, ฮะมี เดะฮฺกอน

[12] ฮุกูมัตอิสลามมี, อิมามโคมัยนี (รฎ.) หน้า 34, 233.

[13] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 464

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ชีวิตและจิตวิญญาณต้องนอนหลับหรือตายด้วยหรือไม่ ?
    6373 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/12/22
    ปัญหาเรื่องจิตวิญญาณและแก่นแท้ของมันเป็นปัญหาที่พิพาทถกเถียงกันมาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันซึ่งจัดได้ว่าเป็นปัญหาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคำถามข้างต้นก็ได้ก็เป็นผลพวงและแหล่งที่มาจากคำถามนี้เองที่ว่าแก่นแท้ของมนุษย์ก็คือ กายภาพอันเป็นวัตถุตามลักษณะที่ปรากฏกระนั้นหรือหรือว่าเบื้องหลังของมันยังมีสิ่งอื่นที่ซ่อนเร้นอยู่อีกซึ่งตาเนื้อธรรมดาไม่อาจมองเห็นได้ซึ่งอยู่นอกเหนือคุณสมบัติของวัตถุและมีลักษณะศักดิ์สิทธิ์และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงสิ่งนั่นเป็นวัตถุหรือนามธรรมที่ไร้สถานะและชะตากรรมของสิ่งนั้นภายหลังจากการตายของร่างกายจะเป็นอย่างไร?คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นนี้สามารถอธิบายในเชิงของทฤษฎีบท,ในลักษณะที่เป็นเชิงตรรกะเพื่อจะได้ไปถึงยังบทสรุป
  • จุดประสงค์ของการสร้างคืออะไร จงอธิบายเหตุผลในเชิงเหตุผลนิยม ถ้าเป้าหมายคือความสมบูรณ์แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทรงสร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ
    13106 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ที่ไม่มีความจำกัด พระองค์ทรงมีความสมบูรณ์แบบทุกประการ การสร้าง (บังเกิด) เป็นความงดงาม และพระองค์คือผู้มีความงดงามความงดงามอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ เป็นตัวกำหนดว่าพระองค์ทรงสร้างทุกอย่างขึ้นตามคุณค่าของมัน ดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างเป็นเพราะพระองค์คือผู้งดงาม หมายถึงจุดประสงค์และเป้าหมายในการสร้างของพระองค์นั้นงดงาม อีกด้านหนึ่งคุณลักษณะอาตมันของพระเจ้าไม่ได้แยกออกจากอาตมันของพระองค์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างคือ อาตมันของพระเพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยให้มีแนวโน้มที่ดีและความชั่วร้ายภายใน และทรงประทานผู้เชิญชวนภายนอก 2 ท่าน ที่ดีได้แก่ศาสดา (นบี) และความชั่วร้ายได้แก่ชัยฎอน (ปีศาจ), ทั้งนี้มนุษย์สามารถบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดของสรรพสิ่งที่อยู่หรือก้าวไปสู่ความชั่วช้าที่ต่ำทรามที่สุดก็เป็นได้ ทั้งที่มนุษย์นั้นมีพลังของเดรัจฉานและการลวงล่อของซาตานที่ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา ...
  • เหตุใดท่านอิมามอลี(อ.)จึงวางเฉยต่อการหมิ่นประมาทท่านหญิงฟาฏิมะฮ์?
    7196 ประวัติหลักกฎหมาย 2554/10/09
    การที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ถูกทุบตีมิได้ขัดต่อความกล้าหาญของท่านอิมามอลี(อ.) เพราะในสถานการณ์นั้นท่านต้องเลือกระหว่างการจับดาบขึ้นสู้เพื่อทวงสิทธิของครอบครัวที่ถูกละเมิดหรือจะอดทนสงวนท่าทีแล้วหาทางช่วยเหลืออิสลามด้วยวิธีอื่นจากการที่การจับดาบขึ้นสู้ในเวลานั้นเท่ากับการต่อต้านและสร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิมอันจะทำให้สังคมมุสลิมยุคแรกอ่อนเปลี้ยส่งผลให้กองทัพโรมันเหล่าศาสดาจอมปลอมและผู้ตกศาสนาจ้องตะครุบให้สิ้นซากท่านอิมามอลี(อ.)ยอมสละความสุขของตนและครอบครัวเพื่อผดุงไว้ซึ่งอิสลามศาสนาที่เป็นผลงานคำสอนทั้งชีวิตของท่านนบี(ซ.ล.)และการเสียสละของเหล่าชะฮีดในสมรภูมิต่างๆ ...
  • ท่านอิมามฮุซัยนฺและเหล่าสหายในวันอาชูทั้งที่มีน้ำอยู่เพียงน้อยนิด และฆุซลฺได้อย่างไร?
    5642 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2554/11/21
    การพิจารณาและวิเคราะห์รายงานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความกระหายของเหล่าสหายและบรรดาอธฮฺลุลบัยตฺของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) และรายงานที่กล่าวถึงการฆุซลฺ (อาบน้ำตามหลักการ
  • ทำไมเราจึงต้องมีเพียงสิบสองอิมามเท่านั้น ในยุคสมัยของอิมามที่ไม่ปรากฏตัว เราจะสามารถหาทางรอดพ้นได้อย่างไร?
    6370 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/10/03
    ตำแหน่งอิมามเป็นตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า การกำหนดตัวบุคคลที่จะขึ้นมาเป็นอิมามและจำนวนของอิมามนั้นขึ้นกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและทางเดียวที่เราจะสามารถรับรู้ถึงเจตนาดังกล่าวได้ก็คือฮะดีษของท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) นั่นเองท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวถึงบุคคลและจำนวนของอิมาม(อ
  • ฮะดีษที่ว่า “ผู้ใดสิ้นลมโดยปราศจากสัตยาบัน ถือว่าเขาตายในสภาพญาฮิลียะฮ์” รวมถึงตัวท่านนบี(ซ.ล.)ด้วยหรือไม่?
    7978 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/01/19
    สัตยาบัน(บัยอัต)มีสองด้านด้านหนึ่งคือผู้นำ(นบี,อิมาม) อีกด้านหนึ่งคือผู้ตามในเมื่อท่านนบีเป็นผู้นำจึงถือเป็นฝ่ายได้รับสัตยาบันมิไช่ฝ่ายที่ต้องให้สัตยาบันแน่นอนว่าฮะดีษนี้ต้องการจะสื่อว่าลำพังการรู้จักอิมามยังไม่ถือว่าเพียงพอแต่จะต้องเจริญรอยตามด้วยอย่างไรก็ดีฮะดีษข้างต้นมิได้หมายรวมถึงท่านนบี(ซ.ล.)เนื่องจากเหตุผลที่กล่าวไปแล้วส่วนประเด็นการแต่งตั้งตัวแทนภายหลังจากท่านนบี(ซ.ล.)นั้นเรามีหลักฐานที่ชัดเจนระบุว่าท่านนบี(ซ.ล.)ได้แต่งตั้งท่านอิมามอลี(อ.)เป็นตัวแทนภายหลังจากท่านรายละเอียดโปรดคลิกอ่านจากคำตอบแบบสมบูรณ์ ...
  • ศาสนาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
    12885 เทววิทยาใหม่ 2554/06/02
    การที่จะสามารถนิยามความสัมพันธระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมจารีตได้นั้นขั้นแรกต้องเข้าใจถึงลักษณะจำเพาะเป้าประสงค์และผลผลิตของทั้งศาสนาและวัฒนธรรมเสียก่อน.บางคนปฎิเสธความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมโดยสิ้นเชิงทัศนคตินี้ค่อนข้างจะไร้เหตุผลทั้งนี้ก็เพราะแม้ว่าวัฒนธรรมจารีตบางประเภทอาจจะผิดแผกและไม่เป็นที่ยอมรับโดยศาสนาเนื่องจากขัดต่อเป้าประสงค์ที่ศาสนามุ่งนำพามนุษย์สู่ความผาสุกแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ายังมีวัฒนธรรมจารีตอีกมากมายที่สอดคล้องและได้รับการยอมรับโดยศาสนายิ่งไปกว่านั้นยังมีวัฒนธรรมจารีตบางส่วนที่เกิดขึ้นจากคุณค่าที่ได้รับการฟูมฟักโดยศาสนาเช่นกัน. ...
  • หากในท้องปลาที่ตกได้ มีปลาตัวอื่นอีกด้วย จะรับประทานได้หรือไม่?
    5871 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/17
    มีการสอบถามคำถามทำนองนี้ไปยังสำนักงานของบรรดามัรญะอ์ตักลีดบางท่านซึ่งท่านได้ให้คำตอบดังนี้ท่านอายาตุลลอฮ์คอเมเนอี:ปลาที่ตกได้ถือว่าฮะลาลท่านอายาตุลลอฮ์ซิซตานี:อิห์ติยาฏวาญิบ(สถานะพึงระวัง) ถือว่าเป็นฮะรอมท่านอายาตุลลอฮ์ฟาฎิลลังกะรอนี:หากปลาที่ตกมาได้เป็นปลาประเภทฮาลาลก็ถือว่าเป็นอนุมัติท่านอายาตุลลอฮ์มะการิมชีรอซี:อิห์ติยาฏควรจะหลีกเลี่ยง[1]อายาตุลลอฮ์อะรอกี:อิห์ติยาฏควรจะหลีกเลี้ยงเนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้ว่าตอนที่มันออกมามีชีวิตหรือไม่ดังนั้นถือว่าไม่สะอาด[2]อายาตุลลอฮ์นูรีฮาเมดอนี:ถือว่าฮาลาล[3]ดังที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่าบรรดามัรญะอ์มีทัศนะที่แตกต่างกันไปเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวแต่สามารถสรุปได้โดยรวมว่าหากมีสัตว์ที่อยู่ในท้องของปลาที่จับมาได้หากสัตว์ตัวนั้นเป็นปลาหรือเป็นสัตว์น้ำชนิดที่รับประทานได้ตามหลักศาสนาโดยขณะที่เราเอาผ่าออกมาเราแน่ใจว่าสัตว์น้ำดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ถือว่าฮาล้าลส่วนกรณีที่ต่างไปจากนี้อาทิเช่นเมื่อได้ผ่าท้องปลาและเห็นว่าสัตว์ที่อยู่ในท้องมันตายแล้วก่อนหน้านั้นถือว่าไม่สามารถรับประทานสัตว์น้ำดังกล่าวได้ส่วนในกรณีที่สาม (ไม่รู้ว่าสัตว์น้ำในท้องปลายังมีชีวิตหรือไม่) ในกรณีนี้บรรดามัรญะอ์มีทัศนะที่แตกต่างกันไปดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นดังนั้นมุกัลลัฟแต่ละจะต้องทำตามฟัตวาของมัรญะอ์ของตน
  • อัลลอฮฺ ทรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติด้วยหรือไม่?
    5818 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/04/07
    อัลลอฮฺ คือพระผู้ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ อาตมันสากลของพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากความต้องการของพระองค์ หรือเว้นเสียแต่ว่าความประสงค์ของพระองค์ต้องการที่จะปฏิบัติภารกิจหนึ่ง ซึ่งทรงเป็นสาเหตุของการเกิดสิ่งนั้น ขณะเดียวกันการละเมิดกฎต่างๆในโลกที่ต่ำกว่า โดยพลังอำนาจที่ดีกว่าของพระองค์ถือเป็น กฎเกณฑ์อันเฉพาะ และเป็นประกาศิตที่มีความเป็นไปได้เสมอ ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า ปาฏิหาริย์,แน่นอน ปาฏิหาริย์มิได้จำกัดอยู่ในสมัยของบรรดาศาสดาเท่านั้น ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสมัย เพียงแต่ว่าปาฏิหาริย์ได้ถูกมอบแก่บุคคลที่เฉพาะเท่านั้น เป็นความถูกต้องที่ว่าความรู้มีความจำกัดและขึ้นอยู่ยุคสมัยและสภาพแวดล้อม ไม่มีความรู้ใดยอมรับหรือสนับสนุนเรื่องมายากล และเวทมนต์ แต่คำพูดที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือ เจ้าของความรู้เหล่านั้นบางครั้ง ได้แสดงสิ่งที่เลยเถิดไปจากนิยามของความรู้หรือที่เรียกว่า มายากล เวทมนต์เป็นต้น อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า สิ่งนั้นคือการมุสาและการเบี่ยงเบนนั่นเอง ...
  • ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมกับจริยศาสตร์คืออะไร? สิ่งไหนครอบคลุมมากกว่ากัน? และการตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์กับจริยธรรมอันไหนครอบคลุมมากกว่า?
    20839 จริยธรรมทฤษฎี 2555/04/07
    คำว่า “อัคลาก” ในแง่ของภาษาเป็นพหูพจน์ของคำว่า “คุลก์” หมายถึง อารมณ์,ธรรมชาติ, อุปนิสัย, และความเคยชิน,ซึ่งครอบคลุมทั้งอุปนิสัยทั้งดีและไม่ดี นักวิชาการด้านจริยศาสตร์,และนักปรัชญาได้ตีความเกี่ยวกับจริยศาสตร์ไว้มากมาย. ซึ่งในหมู่การตีความทั้งหลายเหล่านั้นของนักวิชาการสามารถนำมารวมกัน และกล่าวสรุปได้ดังนี้ว่า “อัคลาก ก็คือคุณภาพทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่มีความเหมาะสม หรือพฤติกรรมอันเหมาะสมของมนุษย์ที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวันตน” สำหรับ ศาสตร์ด้านจริยธรรมนั้น มีการตีความไว้มากมายเช่นกัน ซึ่งในคำอธิบายเหล่านั้นเป็นคำพูดของท่าน มัรฮูม นะรอกียฺ กล่าวไว้ในหนังสือ ญามิอุลสะอาดะฮฺว่า : ความรู้ (อิลม์) แห่งจริยศาสตร์หมายถึง การรู้ถึงคุณลักษณะ (ความเคยชิน) ทักษะ พฤติกรรม และการถูกขยายความแห่งคุณลักษณะเหล่านั้น การปฏิบัติตามคุณลักษณะที่แตกต่างกันในการช่วยเหลือให้รอดพ้น หรือการการปล่อยวางคุณลักษณะที่นำไปสู่ความหายนะ” ส่วนการครอบคลุมระหว่างจริยธรรมกับศาสตร์แห่งจริยธรรมนั้น มีคำกล่าวว่า,ความแตกต่างระหว่างทั้งสองมีอยู่เฉพาะในทฤษฎีเท่านั้นเอง ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากจะกล่าวว่า สิ่งไหนมีความครอบคลุมมากกว่ากันจึงไม่มีความหมายแต่อย่างใด ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59465 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56925 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41727 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38481 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38467 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33503 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27576 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27303 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27194 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25268 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...