การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6942
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/12/08
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1874 รหัสสำเนา 26996
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดจึงได้เลือก อัดลฺ ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของพระเจ้า เป็นหลักศรัทธา?
คำถาม
เพราะเหตุใดในหลักศรัทธา จึงได้เลือกอัดลฺ ซึ่งเป็นหนึ่งในซิฟัตของอัลลฮฺ แล้วทำไม่เลือกซิฟัตอื่น?
คำตอบโดยสังเขป

หลักอุซูลของชีอะฮฺประกอบด้วย เตาฮีด, อัดลฺ, มะอาด, นะบูวัต, และอิมามะฮฺ. อัดลฺ แม้ว่าจะเป็นซิฟัตหนึ่งของอัลลอฮฺ แต่ในหลักการศรัทธาแล้วก็เหมือนกับ ซิฟัตอื่นๆ ของพระองค์ จำเป็นต้องวิพากในเตาฮีด แต่เนื่องจากความสำคัญของอัดลฺ จึงได้แยกอธิบายไว้ต่างหาก

สาเหตุที่ อัดลฺ มีความสำคัญเนื่องจาก อัดลฺ คือสาเหตุของการแยกระหว่างหลักเทววิทยาของฝ่าย อัดลียะฮฺ (ชีอะฮฺและมุอฺตะซิละฮฺ) ออกจากฝ่ายอะชาอิเราะฮฺ

ซิฟัตหนึ่งถ้าพิสูจน์ว่ามีหรือไม่มี จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันและตรงข้ามกัน แน่นอน จำเป็นต้องกล่าวว่าฝ่ายอะชาอิเราะฮฺ ปฏิเสธไม่ยอมรับเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า ทว่ากล่าวว่า ความยุติธรรม หมายถึงอัลลอฮฺกระทำภารกิจของพระองค์ แม้ว่าในแง่ของสติปัญญา สิ่งนั้นจะเป็นความอธรรมก็ตาม

คำตอบเชิงรายละเอียด

หลักศรัทธาของมัซฮับชีอะฮฺ ประกอบด้วย เตาฮีด, อัดลฺ, นะบูวัต, อิมามะฮฺ และมะอาด ซึ่งมุสลิมทั้งหมดมีความเชื่อร่วมกันในหลัก เตาฮีด นะบูวัต และมะอาด ส่วนในเรื่องอัดลฺ และอิมามะฮฺ นั้นเฉพาะเจาะจงสำหรับมัซฮับชีอะฮฺ 12 อิมามเท่านั้น ส่วนมัซฮับอื่นๆ ของอิสลาม (ยกเว้นมุอฺตะซิละฮฺเพราะมีความเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้าเหมือนชีอะฮฺ) จะมีความแตกต่างกัน

อัดลฺ หรือความยุติธรรมแม้ว่าจะเป็นหนึ่งในซิฟัตของอัลลอฮฺ แต่ในนิยามของหลักศรัทธาคำว่า เตาฮีด นั้นครอบคลุมเรื่อง อัดลฺ และซิฟัตอื่นๆ ของอัลลอฮฺด้วย แต่เนื่องจาก อัดลฺ เป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่ง และเป็นสาเหตุของการแยกตัวออกระหว่างสำนักคิด อะชาอิเราะฮฺ กับอัดดะลียฺ (ชีอะฮฺอิมามียะฮฺและมุอฺตะซิละฮฺ ซึ่งทั้งสองเชื่อในเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า) ซึ่งมีผลสะท้อนอย่างมากมาย และได้แยกเอา อัดลฺ มาอธิบายต่างหาก พร้อมกับถือว่า อัดลฺ เป็นหนึ่งในหลักอุซูล, ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วมัซฮับหลักเรื่องเทววิทยาในโลกอิสลาม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกันประกอบด้วย อะชาอิเราะฮฺ มุอฺตะซิละฮฺ และชีอะฮฺ ซึ่งมุอฺตะซิละฮฺ และชีอะฮฺนั้นมีความเชื่อเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า อัดลียะฮฺ[1]

ความหมายของอัดลฺ :

การเชื่อเรื่อง อัดลฺ เป็นสาขาหนึ่งของหลักความเชื่อเรื่อง ฮุสนฺและกุบฮฺอักลียะฮฺ (ความดีและชั่วทางภูมิปัญญา)[2] ฝ่ายอัดลียะฮฺเชื่อว่า การกระทำทั้งหมดทั้งที่เป็นตักวีนียะฮฺ และตัชรีอียะฮฺ ล้วนเกี่ยวข้องกับอัลลอฮฺ ซึ่งอธิบายให้เห็นความดีและความชั่ว สติปัญญาของมนุษย์ในระดับหนึ่งสามารถจำแนกการกระทำที่ดีและชั่วได้ หมายถึงอัลลอฮฺ (ซบ.) จะไม่ทรงกระทำสิ่งที่ไม่ดี สิ่งนี้มิได้หมายความว่า (ขอให้ห่างไกล) เป็นการสั่งให้พระองค์กระทำ หรือสั่งห้ามหรือสั่งใช้กับพระองค์ ทว่าหมายถึง การงานที่ไม่ดีเป็นไปไม่ได้ที่จะออกมาจากพระองค์ แน่นอน ทัศนะของมุอฺตะซิละฮฺในประเด็นนี้ มีจุดอ่อนอยู่บ้าง ซึ่งจะวิเคราะห์ในที่ของมัน »ส่วนความเชื่อของชีอะฮฺ ซึ่งได้เจริญรอยตามบรรดามะอฺซูม«[3] อธิบายว่า อัดลฺ เป็นหนึ่งในซิฟัตที่มีอยู่จริงในอัลลอฮฺ และมีความสัมบูรณ์[4] หมายถึงอัลลอฮฺจะไม่อยุติธรรมเด็ดขาด และพระองค์จะไม่กระทำสิ่งไม่ดีที่ขัดแย้งกับสติปัญญาสมบูรณ์อย่างแน่นอน[5] ฝ่ายอัดลียะฮฺได้พิสูจน์ให้เห็นว่า กฎของความดีความชั่วเป็นเหตุผลทางสติปัญญา และพิสูจน์ให้เห็นบทสรุปที่ว่ากฎข้อนี้ก็เหมือนกับกฎข้ออื่นในทางเทววิทยา เช่น กฎลุฏฟฺ หรือกฎวาญิบต้องขอบคุณผู้ประทานความโปรดปราน ปัญหาเรื่องการบีบบังคับ และการเลือกสรร[6]

อะชาอิเราะฮฺ, ประวัติความเชื่อ :

อะชาอิเราะฮฺ ได้กล่าวเรียกกลุ่มชนที่ปฏิบัติตามแนวคิดของ “อบุลฮะซัน อัชอะรี” ซึ่งเป็นชาวเมืองบะซะเราะฮฺ เขาเป็นศิษย์เอกที่มีความอัจฉริยะ ของอบูอะลี ญะบาอียฺ (เชคมุอฺตะซิละฮฺ)  แต่ต่อมาเขาได้แยกตัวออกไปจากอาจารย์ของตน และสถาปนาสำนักคิดด้านเทววิทยาขึ้นใหม่ สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เขาต้องแยกตัวไปจาก สำนักคิดมุอฺตะซิละฮฺคือ การวิภาษเรื่องความยุติธรรมของอัลลอฮฺ และอัลกุรอานเป็นสิ่งถูกสร้าง การแยกตัวของเขาเกิดขึ้นราวปี ฮ.ศ. ที่ 300[7]

แนวทางของพวกอัชอะรี ที่ใช้วิภาษกับพวกมุอฺตะซิละฮฺ ได้ใช้เหตุผลและหลักวิพากวิทยา เป็นแนวทางที่สนับสนุน ฝ่ายอะฮฺซุนนะฮฺ เป็นอย่างดี

ประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ ที่นับถือมัซฮับอะฮฺลิซซุนนะฮฺวะญะมาอะฮฺ ส่วนมากจะเป็นอัชอะรียฺทั้งสิ้น[8]

การเติบโตของสำนักคิดวิพากวิทยาฝ่ายอัชอะรียฺ ที่มีเหนือสำนักคิดอื่นของซุนนีด้วยกันนั้น แน่นอนว่าหลีกหนีไม่พ้นเรื่องการเมือง ซึ่งต้องยอมรับว่าการเมืองในสมัยนั้นจะเข้าข้างและสนับสนุนฝ่ายอัชอะรียฺเสียเป็นส่วนใหญ่ แรงกดดันจากฝ่ายปกครองซึ่งตรงกับยุคของอับบาซซี ที่มีต่อฝ่ายมุอฺตะซิละฮฺ และฝ่ายเหตุผลนิยมได้เริ่มต้นตั้งแต่สมัย มุตะวักกิล จนถึงสมัยของมุกตะดิร ซึ่งอยู่ระหว่างปี ฮ.ศ. 295-320 และได้กดดันอย่างต่อเนื่องเรื่อยไป ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้น (295-320) เป็นช่วงที่ อบุลฮะซัน อัชอะรียฺ ได้กลับใจออกจากสำนักคิด มุอฺตะซิละฮฺ และเข้าสู่แนวคิดฝ่ายฮะดีซ ซึ่งเป็นหลักความเชื่อที่เคาะลิฟะฮฺอับบาซซียฺ ยอมรับ และหลังจากนั้นไม่นานเขาได้กลายเป็นซุลต่านปกครองเมือง ซัลญูกียฺ[9]

หลักความเชื่อของอะชาอิเราะฮฺ :

อบุลฮะซัน อัชอะรียฺ ได้แบ่งหลักวิพากวิทยาของตนออกเป็น 4 รุกุ่นด้วยกัน ซึ่งแต่ละรุกุ่นนั้นได้แบ่งออกเป็น 10 รุกุ่น ซึ่งจะชี้ให้เห็นบางรุกุ่นของเขา ซึ่งเกี่ยวข้องกับคำอธิบายของเรา[10]

อัลลอฮฺคือ ผู้ทรงสร้างการงานของปวงบ่าว

อัลลอฮฺ สามารถมอบหมายหน้าเกินกำลังสามารถแก่ปวงบ่าวได้ (หมายถึงสามารถกระทำการงาน ที่ในแง่ของสติปัญญาถือว่าไม่ดี ทรงทำได้)

อัลลอฮฺ สามารถลงโทษปวงบ่าวที่ไม่มีความผิดได้

ในกรณีที่ไม่มีอิมามที่คู่ควร เงื่อนไขในการปฏิบัติตาม จำเป็นต้องทำตามอะฮฺกามของซุลต่าน

ผู้กระทำความผิดใหญ่ ถ้าหากไม่ได้ขออภัยโทษและได้จากโลกไป การตัดสินของเขาอยู่ ณ อัลลอฮฺ หรืออัลลอฮฺ อาจยกโทษให้เขาด้วยความเมตตาของพระองค์ หรืออาจได้รับชะฟาอัตจากบรรดาศาสดา

ในทำนองเดียวกันเขากล่าวว่า ในแง่ของสติปัญญาไม่มีสิ่งใดบ่งบอกให้เห็นความดี และความชั่วของสรรพสิ่ง ทว่าสิ่งใดก็ตามถ้า ชัรอฺ ยอมรับว่าดี สิ่งนั้นคือความดี แต่ถ้าสิ่งใดก็ตามที่ชัรอฺ ถือว่าไม่ดี พึงรู้ไว้เถิดว่า สิ่งนั้นไม่ดี หมายถึงอัลลอฮฺ ทรงสามารถนำผู้เชื่อฟังปฏิบัติตาม ลงนรกได้ และให้อยู่ในนั้นตลอดไป หรือให้ผู้ที่กระทำความผิดใหญ่เข้าสวรรค์ได้ ทั้งหมดอยู่ในอำนาจของพระองค์ ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นความจำเป็นของ สิ่งที่เป็นโมฆะ ซึ่งมีผลโดยตรงกับชีวิตของมนุษย์ทั้งที่เป็นปัจเจกบุคคล และสังคมส่วนรวม ทำให้พวกเขาปฏิเสธเรื่อง ความดีและความชั่วในแง่ของสติปัญญา ปฏิเสธเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า ซึ่งสิ่งนี้กลายเป็นสาเหตุสำคัญให้นักปราชญ์ฝ่าย อัดลียะฮฺ ยึดถือเอา อัดลฺ ซึ่งเป็นหนึ่งในซิฟัตของอัลลอฮฺ เป็นหนึ่งในหลักความเชื่อของตน

อย่างไรก็ตามมีคำกล่าวว่า อะชาอิเราะฮฺ มิได้ปฏิเสธความยุติธรรมของพระเจ้า แต่ความยุติธรรมในหลักการของเขา หมายถึงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงกระทำ สติปัญญาไม่สามารถจำแนกสิ่งนั้นได้

หัวข้อเกี่ยวข้อง :

หัวข้อ : ความเข้าใจเกี่ยวกับความยุติธรรมในอุซูลลุดดีย, คำถามที่ 147 (ไซต์ : 2950)

 


[1] ออมูเซซ อะกออิด, อายะตุลลอฮฺ มิซบาฮฺ ยัซดี, หน้า 161

[2] มิลัลวะเนะฮัล,อายะตุลลอฮฺ ซุบฮานี,เล่ม 2, หน้า 332.

[3] ออมูเซซ อะกออิดฐ หน้า 162.

[4] ตัรญุมมะฮฺ บิดายะตุลมะอาริฟ เล่ม 1, หน้า 112.

[5] อัซลุชชีอะฮฺ วะอุซูลลุฮา, เชคมุฮัมมัด ฮุซัยนฺ อาลิ กาชิฟุล ฆิฏออฺ, หน้า 74.

[6] อ้างแล้ว, หน้า 75.

[7] ฟังฮังฟิร็อกอิสลาม, มุฮัมมัดญะวาด มัชเกวะรี, หน้า 54.

[8] อ้างแล้ว, หน้า 56.

[9] อ้างแล้ว, หน้า 56, มิลัลวะเนะฮัล,อายะตุลลอฮฺ ซุบฮานี,เล่ม 2, หน้า 31

[10] ฟังฮังฟิร็อกอิสลาม, หน้า 56, 57, 58.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เหตุใดอัลลอฮ์จึงกำชับให้ขอบคุณต่อเนียะอฺมัตที่ทรงประทานให้?
    17651 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/07/10
    “ชุโกร”ในทางภาษาอรับหมายถึง การมโนภาพเนียะอฺมัต(ความโปรดปรานจากพระองค์)แล้วเผยความกตัญญูรู้คุณผ่านคำพูดหรือการกระทำ[i] ส่วนที่ว่าทำไมต้องชุโกรขอบคุณพระองค์ในฐานะที่ประทานเนียะอฺมัตต่างๆนั้น ขอให้ลองพิจารณาประเด็นต่อไปนี้:1.
  • ผู้ที่มาร่วมพิธีฝังศพท่านนบี(ซ.ล.)มีใครบ้าง?
    11038 تاريخ بزرگان 2555/03/14
    ตำราประวัติศาสตร์และฮะดีษของฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์เล่าเหตุการณ์ฝังศพท่านนบี(ซ.ล.)ว่า อลี บิน อบีฏอลิบ(อ.) และฟัฎล์ บิน อับบ้าส และอุซามะฮ์ บิน เซด ร่วมกันอาบน้ำมัยยิตแก่ท่านนบี บุคคลกลุ่มแรกที่ร่วมกันนมาซมัยยิตก็คือ อับบาส บิน อับดุลมุฏ็อลลิบและชาวบนีฮาชิม หลังจากนั้นเหล่ามุฮาญิรีน กลุ่มอันศ้อร และประชาชนทั่วไปก็ได้นมาซมัยยิตทีละกลุ่มตามลำดับ สามวันหลังจากนั้น ท่านอิมามอลี ฟัฎล์ และอุซามะฮ์ได้ลงไปในหลุมและช่วยกันฝังร่างของท่านนบี(ซ.ล.) หากเป็นไปตามรายงานดังกล่าวแล้ว อบูบักรและอุมัรมิได้อยู่ในพิธีฝังศพท่านนบี(ซ.ล.) แม้จะได้ร่วมนมาซมัยยิตเสมือนมุสลิมคนอื่นๆก็ตาม ...
  • สายรายงานของฮะดีษที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวแก่ชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า“พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เพื่อให้ยอมรับการประทานกุรอาน แต่ก่อนโลกนี้จะพินาศ พวกเขาจะรบกับพวกท่านเพื่อการตีความกุรอาน”เชื่อถือได้เพียงใด?
    7427 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2554/09/11
    ในตำราฮะดีษมีฮะดีษชุดหนึ่งที่มีนัยยะถึงการที่ท่านอิมามอลี(อ.)กล่าวกับชาวอรับเกี่ยวกับชาวเปอร์เซียว่า “พวกท่าน(อรับ)รบกับพวกเขา(เปอร์เซีย)เนื่องด้วยการประทานกุรอานแต่ก่อนโลกนี้จะพินาศพวกเขาก็จะรบกับพวกท่านเนื่องด้วยการตีความกุรอาน”สายรายงานของฮะดีษบทนี้เชื่อถือได้ ...
  • ริวายะฮ์(คำรายงาน)ที่มีความขัดแย้งกัน ยกตัวอย่างเช่น ริวายะฮ์ที่กล่าวถึงการจดบาปของมนุษย์ กับริวายะฮ์ทีกล่าวว่า การจดบาปจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าครบ ๗ วัน เราสามารถจะแก้ไขริวายะฮ์ทั้งสองได้อย่างไร?
    4185 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2561/11/05
    สำหรับคำตอบของคำถามนี้ จะต้องตรวจสอบในหลายประเด็นดังต่อไปนี้ ๑.การจดบันทึกเนียต(เจตนา)ในการทำบาป กล่าวได้ว่า จากการตรวจสอบจากแหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับการจดบันทึกเนียตในการทำบาปปรากฏว่าไม่มีริวายะฮ์รายงานเรื่องนี้แต่อย่างใด และโองการอัลกุรอานก็ไม่สามารถวินิจฉัยถึงเรื่องนี้ได้ เพราะว่า โองการอัลกุรอานกล่าวถึงความรอบรู้ของพระเจ้าในเนียตของมนุษย์ พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ)ทรงตรัสว่า เราได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา และเรารู้ดียิ่งในสิ่งที่จิตใจของเขากระซิบกระซาบแก่เขา และเราอยู่ใกล้ชิดกับเขามากกว่าเส้นเลือดชีวิตของเขาเสียอีก ดังนั้น การที่พระองค์ทรงมีความรู้ในเจตนาทั้งหลาย มิได้หมายถึง การจดบันทึกว่าเป็นการทำบาปหรือเป็นบทเบื้องต้นในการทำบาป ๒.การจดบันทึกความบาปโดยทันทีทันใด ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้ก็ไม่ปรากฏริวายะฮ์ที่กล่าวถึง แต่ทว่า บางโองการอัลกุรอาน กล่าวถึง การจดบันทึกโดยทันทีทันใดในบาป ดั่งเช่น โองการที่กล่าวว่า (ในวันแห่งการตัดสิน บัญชีอะมั้ลการกระทำของมนุษย์)บันทึกจะถูกวางไว้ ดังนั้นเจ้าจะเห็นผู้กระทำความผิดบาปทั้งหลายหวั่นกลัวสิ่งที่มีอยู่ในบันทึก และพวกเขาจะกล่าวว่า โอ้ความวิบัติของเรา บันทึกอะไรกันนี่ มันมิได้ละเว้นสิ่งเล็กน้อย และสิ่งใหญ่โตเลย เว้นแต่ได้บันทึกไว้ครบถ้วน และพวกเขาได้พบสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ปรากฏอยู่ต่อหน้า และพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย โองการนี้แสดงให้เห็นว่า ความผิดบาปทั้งหมดจะถูกจดบันทึกอย่างแน่นอนก ๓.การจดบันทึกความบาปจนกว่าจะครบ ๗ วัน มีรายงานต่างๆมากมายที่กล่าวถึง การไม่จดบาปในทันที แต่ทว่า มีรายงานหนึ่งกล่าวว่า ให้โอกาสจนกว่าจะครบ ๗ วัน ...
  • ถ้าหากพิจารณาบทดุอาอฺต่างๆ ในอัลกุรอาน จะเห็นว่าดุอาอฺเหล่านั้นได้ให้ความสำคัญต่อตัวเองก่อน หลังจากนั้นเป็นคนอื่น เช่นโองการอัลกุรอาน ที่กล่าวว่า “อะลัยกุม อันฟุซะกุม” แต่เมื่อพิจารณาดุอาอฺของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺจะพบว่าท่านหญิงดุอาอฺให้กับคนอื่นก่อนเป็นอันดับแรก, ดังนั้น ประเด็นนี้จะมีทางออกอย่างไร?
    8878 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/12/21
    ในตำแหน่งของการขัดเกลาจิตวิญญาณและยกระดับจิตใจตนเองนั้น, มนุษย์ต้องคำนึงถึงตัวเองก่อนบุคคลอื่นเพราะสิ่งนี้เป็นคำสั่งของอัลกุรอานและรายงานนั่นเอง, เนื่องจากถ้าปราศจากการขัดเกลาจิตวิญญาณแล้วการชี้แนะแนวทางแก่บุคคลอื่นจะบังเกิดผลน้อยมาก, แต่ส่วนในตำแหน่งของดุอาอฺหรือการวิงวอนขอสิ่งที่ต้องการจากพระเจ้า,ถือว่าเป็นความเหมาะสมอย่างยิ่งที่มนุษย์จะวอนขอให้แก่เพื่อนบ้านหรือบุคคลอื่นก่อนตัวเอง, ...
  • สำนวน طبیب دوار بطبه ที่ท่านอิมามอลี(อ.)ใช้กล่าวยกย่องท่านนบี หมายความว่าอย่างไร?
    6605 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/13
    ท่านอิมามอลี(อ.)เปรียบเปรยการรักษาโรคร้ายทางจิตวิญญาณมนุษย์โดยท่านนบี(ซ.ล.)ว่าطبیب دوّار بطبّه (แพทย์ที่สัญจรตามรักษาผู้ป่วยทางจิตวิญญาณ) ท่านเป็นแพทย์ที่รักษาโรคแห่งอวิชชาและมารยาทอันต่ำทรามโดยสัญจรไปพร้อมกับโอสถทิพย์ของตน
  • เป้าหมายและโปรแกรมต่างๆ ของชัยฏอนคืออะไร?
    9162 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    1.ลวงล่อให้มนุษย์ทั้งหลายหลงทาง2.เชิญชวนมนุษย์ทั้งหลายไปสู่การกระทำที่บิดเบือนและการอุปโลกน์ต่างๆ3. หยุแหย่มนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงการสร้างสรรค์ของอัลลอฮฺ (ซบ.) และโปรแกรมต่างๆซึ่งอัลกุรอานได้พาดพิงถึงชัยฏอน ...
  • บุคลิกของอุบัย บิน กะอฺบ์?
    9021 تاريخ بزرگان 2555/04/07
    อุบัย บิน กะอฺบ์ เป็นหนึ่งของสหายที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) และเป็นผู้มีเกียรติยิ่งทั้งในหมู่อะฮฺลิซุนนะฮฺ และชีอะฮฺ แหล่งอ้างอิงของฝ่ายชีอะฮฺมีบันทึกรายงานฮะดีซจำนวหนึ่ของเขาไว้ด้วย นักปราชญ์ผู้อาวุโสฝ่ายฮะดีซ, ยอมรับว่าเขาเป็นสหายของท่านศาสดา และเป็นหนึ่งในผู้บันทึกวะฮฺยู เมื่อพิจารณารายงานที่มาจากเขา, สามารถเข้าใจได้ถึงความรักที่เขามีต่ออะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอิมามอะลี (อ.) ...
  • ทำอย่างไรจึงจะลดความรีบร้อน?
    7537 จริยธรรมทฤษฎี 2555/05/23
    ความรีบร้อนลนลานถือเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในทัศนะของศาสนา ซึ่งในที่นี้ก็หมายถึงการรีบกระทำสิ่งใดโดยพละการนั่นเอง การรีบร้อนแตกต่างจากการรีบเร่งทั่วไป เพราะการรีบเร่งหมายถึงการรีบกระทำการใดทันทีที่ทุกอย่างพร้อม สิ่งที่ตรงข้ามกับการรีบร้อนก็คือ “ตะอันนี” และ “ตะษับบุต”อันหมายถึงการตรึกตรองอย่างรอบคอบก่อนลงมือกระทำการใดๆ เมื่อพิจารณาถึงข้อเสียของการรีบร้อน และข้อดีของการตรึกตรองอันเป็นคุณลักษณะของกัลยาณชนเฉกเช่นบรรดาศาสดา ทำให้ได้ข้อสรุปว่าก่อนกระทำการใดควรตรึกตรองอย่างมีสติเสมอ และหากหมั่นฝึกฝนระยะเวลาหนึ่ง แม้จะเป็นเรื่องยากก็ตาม แต่สุดท้ายก็จะติดเป็นนิสัย อันจะลบเลือนนิสัยรีบร้อนที่มีอยู่เดิม และจะสร้างเสริมให้เป็นผู้ที่มีความสุขุม ...
  • รายงานฮะดีซกล่าวว่า:การสร้างความสันติระหว่างบุคคลสองคน ดีกว่านมาซและศีลอด วัตถุประสงค์คืออะไร ?
    6118 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/05/17
    เหมือนกับว่าการแปลฮะดีซบทนี้ มีนักแปลบางคนได้แปลไว้แล้ว ซึ่งท่านได้อ้างถึง, ความอะลุ่มอล่วยนั้นเป็นที่ยอมรับ, เนื่องจากเมื่อพิจารณาใจความภาษาอรับของฮะดีซที่ว่า "صَلَاحُ ذَاتِ الْبَيْنِ أَفْضَلُ مِنْ عَامَّةِ الصَّلَاةِ وَ الصِّيَام‏" เป็นที่ชัดเจนว่า เจตนาคำพูดของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ต้องการกล่าวว่า การสร้างความสันติระหว่างคนสองคน, ดีกว่าการนมาซและการถือศีลอดจำนวนมากมาย[1] แต่วัตถุประสงค์มิได้หมายถึง นมาซหรือศีลอดเป็นเวลาหนึ่งปี หรือนมาซและศีลอดทั้งหมด เนื่องจากคำว่า “อามะตุน” ในหลายที่ได้ถูกใช้ในความหมายว่า จำนวนมาก เช่น ประโยคที่กล่าวว่า : "عَامَّةُ رِدَائِهِ مَطْرُوحٌ بِالْأَرْض‏" หมายถึงเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของเขาลากพื้น[2] ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59467 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    56926 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41728 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38484 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38467 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33504 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27576 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27307 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27194 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25270 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...